บทความโดย ฟองเวลา
ข้าพเจ้าเป็นเด็กตัวเล็ก ผอม อาจเพราะขาดสารอาหารด้วยความที่พ่อ-แม่มีลูกมาก เราได้คาร์โบไฮเดรตจากข้าวอย่างเหลือเฟือเพราะทำไร่ข้าวทุกปี แต่ขาดอาหารโปรตีนแม้จะมีสัตว์ป่าให้หามาเติมกระเพาะได้บ้างแต่ก็ไม่เพียงพอต่อปากท้องของชาวบ้านทั้งละแวก จำได้ว่าสมัยเป็นเด็กเวลาแม่ซื้อเนื้อหมูมาจากตลาด แม่จะหั่นเป็นชิ้นเล็กมาก แล้วรวนในกระทะเอาน้ำมันหมูแยกเก็บไว้ใช้ สมัยนั้นน้ำมันพืชยังเป็นเรื่องของคนเมือง ในช่วงหน้าหนาวแข้งขาของเด็กๆ จะแตกเกร็ดเป็นขุยๆ สีขาว เรียกว่าหยิกขูดตรงไหนก็มีรอยเป็นทางสีขาวผุดขึ้นมาทันที ข้าพเจ้าเคยใช้น้ำมันหมูลูบแขนขาแทนโลชั่นตอนไปโรงเรียนมัธยม เมื่อเทแยกน้ำมันออกแล้วก็ใส่เกลือเม็ดลงไปรวนบนเตาไฟต่อก่อนจะเก็บใส่หม้อใบใหญ่ไว้แกงกับผัก พวกผู้ใหญ่มักบอกว่า “อย่ากินกับมาก เดี๋ยวเป็นตางขโมย!” เมื่อได้มาเรียนโรงเรียนประจำ ‘ศึกษาสงเคราะห์……’ รสชาติอาหารอาจแตกต่างไปแต่ก็กินอิ่มและได้รับอัตราส่วนที่เท่าเทียมกัน ตอนนั้นคิดถึงบ้าน คิดถึงพี่ๆ น้องๆ ทางบ้าน เคยนอนจินตนาการว่าถ้าสามารถเจาะอุโมงค์ ลอดพื้นโรงเรียนไปทะลุที่บ้าน และมีรางแบบรางรถไฟ(ตอนนั้นยังไม่เคยเห็นรถไฟของจริง ได้แต่ดูในหนังสือเรียน) จะแอบเอาอาหารที่โรงเรียนส่งไปให้ทางบ้านได้กินด้วย สมัยที่เรียนชั้นป.๒ ข้าพเจ้าอยู่ที่หอ ‘ปภัสสร’ มีพวกเด็กโตที่ทำตัวเป็นขาใหญ่จะใช้ให้ลูกทีมมารังแกเด็กเล็กแล้วตัวเองทำทีเป็นว่าเข้ามาห้าม มาให้การคุ้มครอง นั่นเท่ากับต้องตกอยู่ใต้อาณัติไปโดยปริยาย กลายเป็นหนี้บุญคุณที่ต้องชดใช้กันยาวนานแลกกับการคุ้มครอง ต้องจ่ายค่าคุ้มครองเป็นขนมที่ทางบ้านส่งมาให้ หรือจ่ายเป็นชิ้นเนื้อในมื้ออาหาร เวลานั่งกินข้าวในโรงอาหารจะสังเกตได้ว่าเด็กคนไหนเป็นขาใหญ่มั่ง พวกลูกน้องหรือที่เรียกกันว่า “ลูกพิ้ง” หรือ “ลูกปิ้ง” แล้วแต่จะออกเสียง จะตักชิ้นเนื้อในแกงใส่ช้อนจนพูนเดินเอาไปใส่ในหลุมอาหารของลูกพี่โดยเหลือไว้สำหรับตัวเองแค่สองสามชิ้นเท่านั้น ขนมหวานก็เช่นกัน แล้วเด็กเล็กไปตกเป็นลูกหนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่..!! ขาใหญ่บางคนมีเทคติคที่ค่อนข้างเนียน ในวันหยุด หรือช่วงเวลาว่างยามปลอดสายตาครูประจำหอพัก พวกขาใหญ่จะเรียกเด็กเล็กมารวมพลโดยมีบริวารที่เป็นเด็กรุ่นกลางคอยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย ชวนกึ่งบังคับให้มาเล่นพนันทายปัญหา หรือ ‘ปั่นแปะเสี่ยงทายเหรียญ’ และใช้กลโกง เด็กเล็กแต่ละคนจึงตกเป็นหนี้ ‘เนื้อสองสามพันชิ้น’ หรือบางคนเป็นหนี้‘หมื่นชิ้น’ก็มี มีขาใหญ่บางรายขาดศิลปะ ใช้วิธีขู่เอาดื้อ ๆ เลยก็มี ตอนแรกๆเด็กที่ถูกรังแกหรือถูกเอาเปรียบก็จะไปฟ้องครู พอคุณครูสอบสวนหาความจริงพวกขาใหญ่ก็จะมีคำตอบประมาณว่า “ผมบ้ายอครับ” (บ้ายอ = ล้อเล่น) บางครั้งครูก็คาดโทษหรือลงโทษขาใหญ่โทษฐานรังแกเด็ก แต่หลังจากนั้นขาใหญ่ก็จะผูกใจเจ็บ เอาคืนในระดับที่หนักกว่าเดิม เด็กๆ ต้องอยู่กันเองมากกว่าอยู่กับครู ฉะนั้นมาหลัง ๆ เด็กเล็กจึงไม่กล้าฟ้องครูอีกและต้องยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาของรุ่นพี่ ‘เข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม’ เด็กเล็กที่มีพี่ชายเรียนอยู่ชั้นสูง ๆ ก็จะรอดพ้นการถูกรังแกเพราะมีพี่คอยคุ้มครอง หรือบางทีพี่ชายก็ตั้งตนเป็นขาใหญ่เสียเอง โปรตีนที่เด็กเล็กควรได้รับจึงถูกเบียดบังโดยรุ่นพี่บางคนที่ตั้งตนเป็นขาใหญ่
ข้าพเจ้าก็ตกอยู่ในสภาพเช่นเด็กทั่วไป มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนเรียนชั้นป.๑ พักอยู่ที่หอเวชยันต์ พวกเด็กโตล้อมวงกัน ใช้ไม้ขีดเป็นวงกลมสองวงที่พื้นดิน ดึงมือข้าพเจ้ากับเด็ก ป.๑ อีกคนไปยืนกลางวง อธิบายว่า วงกลมใกล้ตัวข้าพเจ้าคือหัวของพ่อเพื่อน ป.๑ ส่วนวงกลมใกล้ตัวเพื่อน ป.๑ คือหัวของพ่อข้าพเจ้า แล้วให้แต่ละคนรักษาหัวของพ่อตัวเองเอาไว้ จากนั้นรุ่นใหญ่ที่ยืนรายล้อมก็จะผลักนักชกจำเป็นให้เหยียบวงสมมติ ด้วยแรงผลักของเด็กโต ขาของข้าพเจ้าจึงเหยียบไปที่วงกลมตรงหน้าซึ่งถูกสมมติให้เป็นศีรษะของพ่อเพื่อน ป.๑ กองเชียร์อีกฝ่ายจึงส่งเสียงยุ “ต่อยมันเลย ต่อยๆ มันเหยียบหัวพ่อมึงแล้ว ต่อยเลย” ข้าพเจ้ายังไม่ทันเข้าใจกติกา การเล่นแบบนี้ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน เพื่อนคนนั้นปล่อยหมัดใส่หน้าข้าพเจ้าเต็มแรง “สู้ๆๆ สู้สิ” เสียงกองเชียร์อีกพวกยุข้าพเจ้า ไม่ยุเปล่าพวกนั้นยังผลักให้เด็กทั้งสองเข้าประชิดกัน ทั้งคู่หลับหูหลับตาต่อย พอเจ็บตัวมากเข้าก็ร้องไห้กันทั้งคู่ เมื่อเห็นเหตุการณ์ชักบานปลาย หรืออาจมีใครบางคนที่ทำตัวเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรมได้แอบนำเรื่องไปแจ้งให้คุณครูทราบ พอครูมาถึงวงก็สลายตัวเสียแล้ว เหลือนักชกจำเป็นสองคนยืนเอาท่อนแขนปาดน้ำตาตัวเองโดยไม่เข้าใจว่า ‘กูต่อยกันทำไมว่ะ’ …………… อำนาจเชิงซ้อน คือศัพท์ที่ใช้ในปัจจุบัน.ปล.ภาพหอพัก และพี่เคลื่อน นักการฯสมัยเด็กที่ยังกลับมาเจอกันในปี 62 และปลายปีนั้นพี่เคลื่อนก็เกษียณอายุ