บทความโดย ฟองเวลา
จำไม่ได้หรอก… ว่าสามสิบกว่าปีที่แล้ว ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือริมคลองเปิดให้บริการหรือยัง?? หลังจากทำธุระเรื่องตรวจสภาพ ต่อทะเบียนรถยนต์ให้พี่สาวเสร็จแล้ว มีเวลาเหลือก็ถือโอกาสแวะไปเยี่ยมมิตรอาวุโสที่ป่วยไข้ และกลับไปพักฟื้นอยู่กับบ้าน หลังจากนั่งคุยสัพเพเหระกันพักหนึ่ง ฉันก็ขอตัวเพื่อไปพบเพื่อนอีกคนตามที่นัดแนะไว้ ฉันขับรถไปตามซอกซอย จากซอย ๑๕ ตัดไปออกซอย ๒ ขับเลียบคลองซอย ๙ ทะลุออกซอยประปา เจอร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าอร่อย จึงแวะสั่ง’เส้นเล็กต้มยำ’หนึ่งชาม ระหว่างนั่งซดเส้นก๋วยเตี๋ยว มองยวดยานแล่นผ่านอยู่นั้น ความทรงจำเก่าผุดพรายในหัว ซอยนี้ในความทรงจำครั้งกระโน้น กลางแดดบ่ายร้อนอ้าว เด็กผู้ชายวัยสิบสี่ปี ร่างผอมผิวกร้าน ผมเผ้ากระเซิง สวมเสื้อยืดคอกลม ที่หน้าอกเสื้อมีภาพขวดยาหอมรูปฤาษีขี่ม้า กางเกงนักเรียนขาสั้น ขณะผู้สวมใส่พ้นจากความเป็นนักเรียนมาหลายวันแล้ว รองเท้าแตะที่ได้รับการอนุเคราะห์จากเณรแห่งวัดเหนือ ใกล้สถานีรถไฟชุมพร ‘วัดชุมพรรังสรรค์’คือสถานีผ่านทางแห่งแรกเมื่อตัดสินใจออกจากบ้าน ออกจากโรงเรียน ครั้นเจ้าอาวาสสังเกตเห็นว่า มีเด็กชายสภาพกะโปโลคนหนึ่ง มาอาศัยอยู่ร่วมกับบรรดาเณรและเด็กวัดอื่นๆอีกสองสามคนเป็นเวลาหลายวันแล้ว เช้านั้นเจ้าอาวาสจึงสั่งเณรรูปหนึ่งให้มาบอกเด็กชายให้ไปเข้าพบ “ต้องเข้าทางตรอก ออกทางประตู” พี่เณรถ่ายทอดคำพูดของเจ้าอาวาสให้ฟัง กินข้าวเช้าอิ่มแล้ว เด็กชายบอกกับเพื่อนเด็กวัดว่าเขาจะไปจากที่นี่ เด็กชายยัดเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าเป้เก่าๆที่เพื่อนเด็กวัดรุ่นใหญ่ยกให้ ส่วนกระเป๋านักเรียนที่เขาใช้แทนกระเป๋าเดินทาง ถูกโยนทิ้งคลองท่าตะเภาหลังวัดไปตั้งแต่วันแรกที่เดินทางถึง …ทั้งนี้เพื่อทำลายหลักฐานการเป็นนักเรียนตามที่เด็กชายคิดได้ในขณะนั้น เขามีเงินติดกระเป๋า ๖ บาท ขณะเดินขึ้นรถเมย์แดง นั่งย่อตัวต่ำและแกล้งหลับตั้งแต่รถยังไม่เคลื่อนออกจากท่า!! และหลับอย่างคอพับคออ่อนเหมือนอดนอนมาหลายคืน ขณะหูก็เงี่ยฟังเสียงกระเป๋ารถเมย์เดินสับกระบอกสแตนเลสใส่ตั๋วโดยสารดัง แกร็กๆๆๆ อันเป็นสัญญาณเรียกเก็บค่ารถ เมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากท่ามาสักพัก รอลุ้นว่ากระเป๋ารถเมย์จะไม่สะกิดปลุกเขาเพราะเห็นเป็นแค่เด็กชายมอมแมม ….และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผ่านไปสักพักเด็กชายยืดตัวขึ้นนั่ง ชมทิวทัศน์ข้างทางอย่างตื่นตา เมื่อรถโดยสารเข้าเทียบท่าสถานีขนส่งอีกจังหวัดหนึ่ง นักเดินทางวัยรุ่นสภาพเนื้อตัวมอมแมมจึงมีเงินเหลือติดตัวตั้ง ๖ บาท เป้เก่ากับรองเท้าแตะถูกลากไปตามตรอกซอกซอยอย่างไร้จุดหมาย แดดบ่ายร้อนระอุปานหัวจะแตกแต่เด็กชายก็ไม่กล้าแวะไปอาศัยร่มชายคาร้านรวงใด ด้วยเกรงว่าจะถูกมองในแง่ร้าย ทั้งที่วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ซึ่งร้านรวงส่วนใหญ่ปิด เด็กชายเดินเข้าซอยนั้น ออกซอยนี้โดยไม่รู้เหนือใต้ บ่ายจัดเขาอาศัยร่มเงาใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ริมคลอง ปัจจุบันตรงนั้นคือริมรั้วบ้านพักนายอำเภอเมือง ลมเย็นทำให้เขาเผลอหลับไปนาน ก่อนจะตื่นและออกเดินต่อ ทดลองถามบางร้านที่ยังเปิดในวันอาทิตย์เพื่อขอทำงาน ปรากฎว่าร้านส่วนใหญ่ไม่ต้องการแรงงานเพิ่ม และบางร้านต้องรอเถ้าแก่ผู้มีอำนาจตัดสินใจ “เถ้าแก่ไม่อยู่” เป็นคำตอบส่วนใหญ่ กระหายมากเข้า เขาแวะร้านน้ำแข็งไส ตั้งใจจะสั่งน้ำแข็งสักแก้ว แต่พอล้วงกระเป๋าตรวจดูปรากฎว่าเงิน ๖ บาทอันตรธานไปแล้ว นึกได้ว่าก่อนนั้นเขานอนหลับใต้ต้นกาหยูริมคลองสักแห่ง เขาจึงพยามเดินกลับไปที่นั่น และเมื่อไปถึงก็พบเหรียญบาทตกอยู่ตรงนั้นจริงๆ ความหวานของน้ำแข็งไสราคา ๒ บาทช่วยเพิ่มพลังงานจนถึงมืดค่ำ น้ำประปาจากก๊อกน้ำหลังตลาดช่วยลดความกระหาย และดึกดื่นเลยเที่ยงคืนของคืนนั้น เด็กชายเจอเทวดาแปลงร่างเป็นแม่ค้าผัก มาช่วยต่อชีวิตด้วยข้าวผัดกระเพราหมู …หลังจากเด็กชายลังเลที่จะตัดสินใจล้วงกระเป๋าชายขี้เมาซึ่งอยู่ในสภาพเมามายไม่ได้สติ ด้วยไม่แน่ใจว่าถ้าเหยื่อเกิดฮึดสู้ คนร้ายผู้หิวโซไร้เรี่ยวแรงอย่างเขาจะมีปัญหาต่อกร หรือเอาตัวรอดจากลำแข้งขี้เมาสูงวัยคนนั้นหรือเปล่า!!! “คิดเงินค่าก๋วยเตี๋ยวด้วยครับ” ฉันเรียกแม่ค้าวัยคุณป้าให้คิดเงิน หลังดูดโอเลี้ยงดังสู๊ด “หกสิบห้าบาท ค่าก๋วยเตี๋ยวสี่สิบห้า โอเลี้ยงยี่สิบ” แม่ค้าแจงรายละเอียด ฉันล้วงธนบัตรฉบับละหนึ่งร้อยออกมาจากกระเป๋า ล้วงเหรียญห้าบาทอีกอัน ส่งให้แม่ค้า ผู้รับทำสีหน้าแปลกใจแต่ไม่ทันได้เอ่ยปากถาม ฉันรีบอธิบายเจตนารมณ์ “ผมซื้อก๋วยเตี๋ยวต้มยำถ้วยนึง ..ให้ใครก็ได้ที่บังเอิญผ่านมา ไม่มีเงินและกำลังหิว” ฉันหยุดพูด เพื่อดูดน้ำโอเลี้ยงที่ยังเหลือติดก้นแก้ว ก่อนจะอธิบายต่อ “นานมาแล้ว …ผมเคยหิวและเคยเดินผ่านแถวนี้” ……………………………….*เมื่อวานนี้ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๔