monk’s quarters Isolation

บทความโดย ฟองเวลา

………ผมเข้าสู่การกักตัวอย่างจริงจังตั้งแต่หลังการสร่างซาการระบาดรอบแรก 9 กรกฎาคม 2563 เวลาเราพูดว่า “กัก” เราหมายถึงการหน่วง เหนี่ยว ขัง ควบคุม จำกัดพื้นที่บริเวณ “ตัว” คือร่างทางกายภาพ แน่ล่ะ เรายังสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ ทำกิจกรรมต่างๆในพื้นที่จำกัด “กักตัว” จึงฟังได้ว่าเป็นเรื่องชั่วคราว สั้น-ยาว ขึ้นอยู่กับเป้าประสงค์ของการกัก เมื่อการกักตัวเป็นเรื่องชั่วคราว กักตัวจึงไม่ได้กักขังเป้าหมายของชีวิต ไม่ได้ลิดรอนฝัน เพียงแต่หยุดพักไว้ เลื่อนขยับออกไป แต่เมื่อการ”กักตัว” การจำกัดการเคลื่อนไหว จำต้องยืดขยายเวลาออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตามเป้าประสงค์ซึ่งไม่รู้ว่าจะบรรลุได้เมื่อไร!! ระยะเวลาที่ทอดห่างออกไป กระทบกับปัจจัยภายนอกอื่นที่พบอยหยุดชะงักลงสิ้น ที่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องขั่วคราวก็ชักจะไม่ใช่เสียแล้ว

ภาพโดย ฟองเวลา

………ความรุ่มร้อนภายในย่อมเกิด มากน้อยขึ้นอยู่กับต้นทุนชีวิตและสภาพแวดล้อมของแต่ละคน ผลกระทบเป็นลูกโซ่ทำให้หลายครอบครัวอยู่ในสภาพล่มสลาย กรงขังที่มองไม่เห็นเริ่มส่งผลเชิงรูปธรรม ทุกคนดิ้นรนเพื่อออกจากสภาพการถูกกักขัง จำกัด …แต่ดูเหมือนกำแพงทึบหนานี้ล้อมเราไว้ทุกด้าน เสียงที่เราทุบกำแพงกลับไม่สะท้อนกลับ กำแพงนี้ได้กักขังความใฝ่ฝันเดิมของชีวิต นานวันเข้าฝันนั้นเริ่มแผ่วเบา หลายคนไม่กล้าฝันใหม่ …ไม่กล้าแม้จะฝันถึงวันพรุ่งนี้ คงได้แต่พยามคิดว่ามันเป็นเรื่องชั่วคราว …แล้วมันจะผ่านไป เราค่อยเก็บเศษซากฝันมาประกอบส่วน เมื่อวันนั้นมาถึง …เป็นความชั่วคราวที่ต่อขยายออกไปเท่านั้นเอง!! ผมเริ่มกักตัว ในฐานะผู้ดูแลพ่อผู้ชรา พ่อที่บวชเป็นพระมายาวนาน และเต็มไปด้วยโรคความเสื่อมแห่งกายสังขาร จริงๆมันไม่ควรเรียกว่า”โรค” เพราะความเสื่อมเป็นกฎแห่งธรรมชาติ แรกนั้นในใจก็คิดว่าเป็นเรื่องชั่วคราว ..ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น เมื่อวันเวลาขยายไปเรื่อย กลับรู้สึกรุ่มร้อน จิตใจรุ่มร้อนดิ้นรนเพื่อรักษาบางฝันเก่าไว้ ผ่านมาหนึ่งหลายฝันค่อยๆมอดดับ และจำต้องยอมรับความจริงให้ไว้ แม้ฝันก็ยังเป็นความชั่วคราว บางห้วง กำแพงหนาอันตรธานไป บางขณะกลับมากั้นขังอย่างสูงทึบ.