โดย ฟองเวลา
“คนคน ขี้ไคปั้นช้างได้ ใช้ให้อาบน้ำก็อาบลวกลวก ขี้คร้านน้ำเป็นที่หนึ่ง” ปากพ่อบ่นพลาง ขณะมือข้างหนึ่งถือเศษผ้าชิ้นเล็กที่ชุบน้ำมันโซล่าซ์ ขัดถูตามซอกคอ หลังใบหู แผ่นหลังและตามแข้งขา พ่อถูจนผิวหนังบริเวณที่ถูกถูเป็นรอยแดงเกือบเห็นเลือด ขณะมืออีกข้างของพ่อจับแขนลูกชายไว้ป้องกันการเบี่ยงตัวหลบ เมื่อพ่อถูมาถึงบริเวณชายโครง ทำให้เรารู้สึกจั๊กกะจี๋มากกว่าอาการเจ็บแสบผิว พอเราพยายามเบี่ยงตัวหลบ ก็อาจโดนพิษฝ่ามืออรหันต์ของพ่อเข้าให้แหละ “ยืนนิ่งนิ่ง เดี๋ยวตบหูหลุดเลย”พ่อตวาดเสียงเข้มพร้อมเงื้อง่ามือ เมื่อถูขี้ไครให้คนพี่เสร็จก็ผลักให้ไปยืนถูสบู่ ฟอกตัวอยู่ข้างกาละมังริมบ่อน้ำ พ่อก็เรียกลูกคนต่อไปซึ่งยืนแก้ผ้า บิดตัวอย่างอิดเอื้อน “มาเร็ว เดี๋ยวกูตบ!” นั่นแหละ เด็กๆจึงค่อยขยับตัวมาให้พ่อถูขี้ไคลให้
นี่เป็นภาพจำที่ฉันนึกย้อนไปถึงวัยเยาว์ พวกเราเด็กๆเติบโตมากับการเล่นดิน เล่นทราย สมัยนั้นพื้นบ้านเป็นดินแข็งๆ เวลาจะอาบน้ำ ต้องเดินไปอาบที่บ่อซึ่งอยู่ใกล้ๆกอไผ่ริมห้วย ห่างบ้านไปเกือบสามสิบวา นานๆครั้งที่พ่อจะมืเวลากำกับการอาบน้ำของลูกๆ ส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของพี่ๆคนโต ..บางทีก็เป็นแม่ สมัยเด็ก ด้วยความที่อยู่กับดินกับทราย และอาบน้ำลวกๆประสาเด็ก ทำให้มีขี้ไคลหมักหมมกันทุกคน
มาวันนี้ ฉันช่วยอาบน้ำให้พ่อ บางวันก็ใช้ผ้าชุบน้ำ บิดพอหมาดเช็ดตัวให้ ฉันไม่ได้ถูแรงๆเหมือนที่พ่อเคยถูซอกหูฉันด้วยผ้าชุบน้ำมันโซล่าซ์เมื่อตอนฉันเป็นเด็ก ฉันถูไปโดยไม่บ่น แผ่นหลัง ลำคอ ซอกหู แขน ใบหน้า และบนศีรษะโล้นเลี่ยนของพ่อ เมื่อวันเจ็ดค่ำฉันยังได้ทำหน้าที่โกนผมให้พ่อด้วย ในทุกๆวันโกนนั้น พระต้องทำการโกนผม ภาพจำอีกอย่างคือ ตอนเด็กมีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อเคยให้ฉันขี่คอ แต่ฉันยังไม่เคยอุ้มหรือให้พ่อขี่คอเลย
เพราะมีพ่อเป็นพระ … ลูกหญิงๆซึ่งมีหลายคนจึงไม่มีโอกาสเท่าฉัน แต่พวกเขาก็ทำหน้าที่สนับสนุนตามกำลังและโอกาส ฉัน… จึงอยู่ในเงื่อนไขดีกว่าลูกคนอื่นๆ ที่จะได้ดูแลพ่ออย่างใกล้ชิด เมื่อพ่อปฏิเสธการลาสิกขา… เราแค่ประคองพ่อไปสู่ที่หมาย.