ยีนส์คนละตัว

บทความโดย ฟองเวลา

น่าจะตอนอายุ 17 แล้วล่ะ ถึงได้ซื้อยีนส์ตัวแรกมาใส่ เป็นยีนส์ตลาดนัดราคาสักสองสามร้อย ได้เงินส่วนแบ่งมาจากการช่วยพ่อเคี่ยวน้ำตาลจากปีแรก ตอนนั้นครอบครัวเราเช่านา’ลุงดำ วังเข้’ ทำนา เป็นนาน้ำกร่อยที่น้ำทะเลท่วมถึง รอบผืนนาริมๆ คลองจะเป็นทิวต้นจาก มันเป็นนาที่เจ้าของทิ้งร้างจึงเต็มไปด้วยพืชปรง เหงือกปลาหมอ หญ้าคาน้ำ หญ้าข้าวนก หญ้าปอบแปบฯ กับอีกสารพัดหญ้าที่ไม่ได้ถามชื่อ ”ทำให้โล่งเตียนแลกกับค่าเช่า” แม่ว่านั่นคือข้อตกลงกับลุงดำซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติห๊างห่าง เช่นกันกับสวนจากริมคลองรายรอบ ตัดแต่งให้สวยงาม สมบูรณ์แลกค่าเช่างวงตาลตอนเคี่ยวน้ำตาลจาก ไม่ต้องจ่ายเป็นเงิน ตอนเย็นโพล้เพล้ขณะแจวเรือบรรทุกปี๊บน้ำตาลมาส่งที่ท่าหัวสะพานรอพ่อค้า ผมฮัมเพลง’เทพธิดาผ้าซิ่น’ แต่ในใจหมายมาดจะซื้อกางเกงยีนส์ตัวแรกมาครอบครอง กะใส่ไปงานลอยกระทง ไม่ได้ไปลอยกะใครเขาหรอก แค่ไปเดินเหล่ดูสาวๆ หนุ่มๆ เขาควงคู่กัน ส่วนคนรักเราเก็บไว้ในโลกจิตนาการก็พอ หลายคืนก่อน ผมเข้านอนแต่หัวค่ำเช่นทุกคืน แม้ไม่ง่วงก็นอนเล่นโทรศัพท์เคียงกันกับลูกชาย “พ่ออย่ารีบหลับนะ เล่นโทรศัพท์ก่อน” ลูกชายพูดอย่างขอร้อง เขาไม่ชอบตื่นอยู่คนเดียวจึงอยากให้พ่อตื่นเป็นเพื่อน “ก็ปิดโทรศัพท์แล้วนอน” ผมบอก “ก็มันยังไม่ง่วงนี่พ่อ” แต่สุดท้ายลูกชายก็ยอมปิดโทรศัพท์ แล้วขยับมานอนกอดแขนพ่อ แล้วเริ่มชวนคุย ขอให้พ่อเล่าเรื่องสมัยที่พ่อยังเป็นเด็ก ผมแสดงอาการหาวเพื่อให้ลูกเห็นว่าไม่พร้อมจะคุยแล้ว แต่เขาก็ยังมีคำถามนำ เช่น ตอนเรียนประถมพ่อนั่งส่วนไหนของห้อง พ่อชอบเรียนวิชาอะไร เพื่อนที่พ่อเกลียดมีมั้ย พ่อจำชื่อเพื่อนในห้องได้กี่คน ใครบ้าง ปัจจุบันยังได้ติดต่อกันมั้ยฯลฯ ผมตอบคำถามอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ลูกชายกลับแสดงอาการตื่นเต้นเมื่อทราบว่าพ่อมีผลการเรียนอยู่ในระดับท็อปไฟว์ของห้องมาตลอด ที่นั่งของพ่อมักอยู่กลางห้องค่อนมาทางด้านหลังและชิดหน้าต่างแม้ช่วงต้นเทอมคุณครูจะจัดให้นั่งแบบไหน แต่สุดท้ายแล้วจักรวาลก็จัดสรรใหม่ตามที่หัวใจของเด็กแต่ละคนต้องการ มีอยู่หนึ่งครั้งที่คุณครูฝืนกฎธรรมชาติด้วยการจับให้เด็กหญิงกับชายนั่งคู่กัน นัยว่าต้องการลดการสุมหัวพูดคุยกันระหว่างเรียน ผมต้องนั่งตัวเกร็ง อึดอัด ต้องคอยระวังไม่ให้ข้อศอก หรือแขนเสื้อ และขาตัวเองเผลอไปเบียดโดนแขนกลีบบัวของเพื่อนหญิง ผมนั่งทรมานด้วยอาการคันตามง่ามนิ้วมือเพราะเป็นโรคหิด โดยไม่กล้าเกาหรือเอามือไปถูกับขอบโต๊ะอย่างที่เคยทำประจำเพราะอายเพื่อนหญิง เกรงเธอจะรังเกียจ แล้วไม่นานพลังแห่งจักรวาลก็พาเรากลับไปในที่สำหรับแต่ละคน สมโชค จำปี เลิศชาย กูโสม บุศรินทร์กลับไปอยู่แถวหน้าห้อง สมชาย ไสว สมเกียรติ สุวพิศ สุชล กลับไปอยู่รั้งท้ายห้อง ผมย้ายไปอยู่เกือบชิดหน้าต่างแถวกลางห้องตามเดิม …ความสุขประสาเรากลับคืนมา

ภาพโดย ฟองเวลา

“ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคม ศิลปะ เป็นวิชาที่พ่อชอบเรียน และทำคะแนนได้ดี ภาษาไทยก็โอเคอยู่นะ พ่อชอบฟังเวลาครูบรรยายเรื่องวรรณคดีไทย ส่วนหนังสือคณิต อังกฤษ จะเต็มไปด้วยรูปวาดตามแต่พ่อจะจินตนาการได้ ” ระหว่างฟังคำบอกเล่าจากพ่อ ลูกชายจะคอยรับคำเป็นช่วงๆ “เรื่องนี้เหมือนกึ๋ย!” “อันนี้ก็ตรงกัน” เขากระชับวงแขนที่กอดให้แน่นขึ้นก่อนจะพูดขึ้นว่า “กึ๋ย เชื่อเรื่องยีนแบบที่เพื่อนพ่อคนนั้นพูด” เขาหยุดนึกชื่อคนที่จะพูดถึงอยู่อึดใจ “อาสามใช่มั้ย ! นั่นแหละ กึ๋ยได้รับยีนถ่ายทอดมาจากพ่อเลย” ลูกชายพูดอย่างตื่นเต้นและมั่นใจตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ได้ยินมา สักครู่เขาก็เอ่ยขึ้นว่าอยากเปลี่ยนชื่อจริง เปลี่ยนให้คล้องจองกับชื่อพ่อ เขาลองสมมุติชื่อที่จะตั้งใหม่โดยให้มีคำว่า’ชัย’ ลงท้ายเพื่อให้เหมือนชื่อพ่อ แล้วหันมากระตุ้นถามว่าดีมั้ยชื่อนี้? ต่อมาก็ตั้งคำถามอีกว่าการไปแจ้งเปลี่ยนชื่อจะทำได้ไหม ยากไหม ต้องทำอย่างไร? “เจ้าหน้าที่ทะเบียนอาจถามเหตุผลจำเป็นในการขอเปลี่ยนชื่อ และสุดท้ายเจ้าหน้าที่อาจเสนอว่าค่อยเปลี่ยนตอนบัตรหมดอายุ หรือเปลี่ยนตอนอายุครบ 15 ปี จะได้เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อจากเด็กชาย มาเป็นนาย ไม่ต้องเสียเวลาหลายครั้ง ” ผมลองสมมุติสถานการณ์ที่ห้องทะเบียนอำเภอให้ลูกชายฟัง “เหตุผลของเด็กมักจะแพ้ของผู้ใหญ่เสมอ” ผมทิ้งทวน “แล้วต้องทำอย่างไรจะได้เปลี่ยนชื่อ” ลูกชายถามต่อ “แจ้งบัตรหายสิ” ผมตอบ “แล้วบอกกับเจ้าหน้าที่ด้วยนะว่า ผมนอนคิดหลายวันแล้วว่าจะใช้ชื่อใหม่ว่าอะไรดีถ้าบัตรหาย แล้วผมก็คิดได้ชื่อนี้ที่คล้องจองกับชื่อพ่อก่อนบัตรหายหนึ่งวัน” ผมแต่งประโยคขึ้นมา แล้วทั้งผมและลูกชายก็หัวเราะกันอย่างครื้นเครงจนลืมว่าผมกำลังง่วงเต็มที เมื่อลูกชายทำท่าจะชวนให้พ่อเล่าเรื่องสมัยเรียนอีก ผมก็ชิงหลับโดยแกล้งส่งเสียงกรนเบา ๆ ผมยังไม่พร้อมจะเล่ารายละเอียดตอนที่ตัวเองหนีออกจากโรงเรียนขณะเรียนชั้นมัธยม 2 ก่อนเข้าสู่ห้วงนิทรา ภาพการสนทนากับเพื่อนคนหนึ่งก็ผุดขึ้นในห้วงนึก ‘สาม’ อธิบายพัฒนาการของลูกชายเขา ‘เลี้ยงลูกให้โตตามวัย ไม่เคี่ยวเข็นให้เป็นมนุษย์พิเศษ’ และย้ำว่าเขาเชื่อในทฤษฎีของยีน และการถ่ายทอดผ่านพันธุกรรม ลูกของเขาก็มีหัวขบถเช่นเขา เป็นเรื่องที่เป็นไปเองไม่ต้องพร่ำสอน เพื่อนพูดประมาณนี้ “งั้นก็เท่ากับสนับสนุนคำกล่าวที่ว่า สันดานลูกโจรย่อมเป็นโจรวันยังค่ำสิ! ผมเชื่อเรื่องการเติบโตซึมซับโดยสภาพแวดล้อม แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่ายีนก็มีส่วน แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด” ผมแย้งเพื่อให้การสนทนาออกรส วันนั้นกาแฟไม่ทันจะหมดถ้วย ผมกับลูกชายต้องขอแยกตัวไปทำธุระต่อ น้องบุ๋มมิตรรุ่นลูกที่แวะมาร่วมวงด้วยก็แยกไปอีกทาง ยีนส์เนื้อหยาบ ขาทรงกระบอกและเป็นสีน้ำเงินที่ลอกทุกครั้งเมื่อซักด้วยน้ำจากบ่อดิน ถูกขายรวมไปกับแว่นกันแดดและเสื้อผ้าอีกสองสามชิ้นในปี 2532 เพื่อนำเงินมาเป็นค่าตั๋วรถเมล์ จากอ้อมใหญ่ สามพราน กลับสู่ปักษ์ใต้…มันคือเรื่องของยีนส์…