บทความโดย ฟองเวลา
………สมัยเด็กเมื่อผมจำความได้แล้ว ผมชอบรื้อดูชั้นหนังสือ เปิดดูอัลบั้มรูปภาพเก่าของพ่อ มันเป็นเรื่องราวก่อนผมเกิดเป็นภาพพ่อในชุดเครื่องแบบกะลาสีสีกากีหม่น หน้าตาพ่อดูตลกดี มันไม่เหมือนภาพลักษณ์ทหารที่เห็นในทีวี ภาพพ่อกับเพื่อนทหารในชุดฝึกสีเขียวดูโทรม ๆ ไม่เห็นความบึกบึนน่าเกรงขามแต่ประการใด ผมเปิดไล่ดูภาพในอัลบั้มเก่าสลับกับหันมาดูหน้าพ่อ ผมยิ้มขำ พ่อดูจะเป็นคนละคนกับในภาพเลย “ทำไมชุดของพ่อไม่มียศมีขีดเครื่องหมายที่หน้าอกอย่างทหารในทีวีล่ะ” ผมถามพ่อ “พ่อเป็นพลทหารเกณฑ์ไง ไม่ได้เป็นทหารอาชีพ ก็เหมือนคติเดิมของผู้ชายไทยชาวพุทธ เมื่อถึงวัยบวชก็ต้องบวชเป็นพระ บวชตามเงื่อนไขทางสังคมไม่ได้มุ่งนิพพาน” พ่ออธิยายอย่างยืดยาวซึ่งผมไม่เข้าใจหรอก ภาพทหารเรือในอัลบั้มรูปเก่าดูน่ารักน่าเมตตา ตอนนั้นผมคิดว่าการเป็นทหารก็ดีนะ เท่ห์ดี พอโตขึ้นมาหน่อย ข่าวสารที่เผยแพร่ออกมาจากรั้วกรมกองมีความน่ากลัว พลทหารถูกลงโทษจนตาย ทหารชั้นผู้น้อยถูกกลั่นแกล้ง รุ่นพี่ใช้อำนาจตามอำเภอใจกดขี่รุ่นน้อง ทหารใหญ่ออกมาให้ข่าวปกป้องภาพลักษณ์องค์กร เหยื่อของความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้ นอกจากฝ่ายคู่จัดแย้งทางอุดมการณ์แล้วก็ยังมีชาวบ้านทั่วไป มีครอบครัวผู้สูญเสีย หญิงม่าย เด็กกำพร้า พระ โต๊ะอีหม่าม ครู แล้วก็ทหารชั้นผู้น้อย กับพลทหารนี่แหละ อย่างไรก็ตามภาพทหารเรือที่พ่อเคยสังกัดและชุดเครื่องแบบสีขาวที่เห็นในสื่อก็ยังให้ความรู้สึกเป็นด้านบวกสำหรับผม เมื่อพ่อยืนยันว่าไม่เคยเป็นทหารตัดหญ้า ทหารเลี้ยงไก่ ทหารบ้านนาย นั่นผมยังรู้สึกภูมิใจ สองเดือนก่อนป้าชวนผมไปร่วมงานสวดศพเพื่อนบ้าน ป้าและเพื่อน ๆ ของป้าที่เป็นสมาชิกของชมรมอะไรสักอย่างที่ดูค่อนข้างเป็นทางการได้ไปเป็นเจ้าภาพในพิธีสวดคืนนั้น จึงถูกจัดให้นั่งแถวหน้าสุดเพื่อความสมเกียรติ ผมจึงพลอยได้รับเกียรติทั้งที่ไม่ต้องการ เสียงโฆษกในงานเชิญแขกผู้มีเกียรติสูงสุดรายหนึ่งให้ออกไปจุดธูปเทียนหน้าพระพุทธรูป ต่อด้วยอีกคนจุดธูปเทียนหน้าตู้พระธรรม ตัวแทนญาติผู้ตายจุดธูปหน้าหีบศพ ผมก้มหน้าเล่นเกม สายตาจดจ้องจอโทรศัพท์มือถือ ป้าซึ่งนั่งเก้าอี้ติดกันขยับแขนมาสะกิดไหล่ผมแล้วกระซิบเบา ๆ เตือนให้ผมพนมมือไหว้ แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิบัติตาม
………จู่ ๆ เหมือนมีอะไรหนัก ๆ กระแทกท้ายทอยผม ทีแรกผมคิดว่าอาจเป็นเพื่อนนักเรียนร่วมห้องสักคนของผมที่เรามักจะหยอกล้อกันด้วยการตบหัวเมื่ออีกคนเผลอ ผมจึงนั่งก้มหน้าทำทีเป็นไม่สนใจ ผั๊วะ!! แรงปะทะครั้งที่สองหนักแน่นกว่าเดิมจนผมรู้สึกปวดตื้อตรงท้ายทอย เมื่อหันไปมองก็เห็นใบหน้าอวบอูมของชายสูงวัยส่งสายตาจับจ้องมาอย่างคาดคั้น เขาขยับทำปากขมุบขมิบส่งคลื่นเสียงความถี่ต่ำเหมือนดังมาจากกระเพาะเป็นภาษาที่ผมฟังไม่เข้าใจ ความเจ็บและมึนงงยังครอบครองความรู้สึกผมอยู่ ผมไม่เข้าใจว่าชายสูงอายุคนนี้ คนที่เคยแวะไปร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนบ่อยครั้ง เคยเห็นมีบทบาทในพิธีศาสนาที่วัดหลายหน ใช่!! ผมนึกออกแล้วเขาชอบแต่งชุดสีขาวแบบนายทหารเรือ และสวมหมวกสีขาวอยู่ตลอดแม้จะสวมเสื้อกางเกงในชุดลำลอง มีรูปของเขาบนป้ายไวนิลโฆษณาหาเสียงอะไรสักอย่างติดไว้ที่ริมถนน จำได้ว่าครูเคยแนะนำต่อหน้าเด็กนักเรียนว่าเขาเป็นอดีตนายทหารเรือที่เกษียณแล้ว เขาคงเป็นทหารอาชีพที่แตกต่างจากทหารเกณฑ์อย่างที่พ่อเคยเป็น แต่ทำไมเขาต้องตบหัวเด็ก? ผมหันหน้ากลับมา น้ำตาผมซึม ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่แขนอีกหลายครั้ง เป็นชายสูงวัยผู้มีเกียรติคนนั้นที่ยื่นมือมาหยิกแขนผม ผมร้องไห้ด้วยความเจ็บกายเจ็บใจ แต่พยายามกดข่มไม่ให้เสียงร้องรบกวนพิธีสวดศพ เดือนต่อมาเมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง พ่อบอกว่า ถ้ามีเหตุการณ์ประมาณนี้อีก ให้ร้องไห้เต็มเสียง ร้องให้เว่อร์เลย เมื่อเจ็บก็ต้องร้องไห้ มันเป็นการโต้กลับของคนตัวเล็ก ๆ เสียงร้องไห้จะทำให้สายตาของคนทั้งงานหันมาโฟกัสที่คู่กรณี เมื่อนั้นผู้มีเกียรติที่ลงโทษเด็กด้วยการตบ จะถูกลดเกียรติทันที มันไม่ใช่หน้าที่ของทหารแก่ที่จะมาจัดระเบียบใคร ‘ทหารเฒ่าผู้ไม่ยอมตาย’.