บทความโดย ฟองเวลา
………ที่จริงฝนตกตลอดคืน และกระแทกห่าหนักในช่วงเช้า ปกติฉันใช้หน้าเฟชบุ๊กตัวเองในการโพสต์เรื่องราวในชีวิต บันทึกความรู้สึกนึกคิดในระยะนั้นๆ หลายครั้งเป็นเรื่องราวสายลมแสงแดด(และสายฝนด้วย) แสร้งทำเป็นว่าชีวิตเป็นปกติสุข แอบอิ่มกับยอดไลค์ และปลื้มปริ่มกับคอมเม้นท์ …ทั้งที่นั่นเพียงเสี้ยวรู้สึกของวัน เช่นเช้านี้ที่ไม่อาจเขียนถึงสายฝนและแรงลม ฝนตกลมแรง อาจเป็นความทุกข์ของใครหลายคน แต่เรามีผู้คนร่วมสังคมที่นอนรอความตาย รออย่างไร้หวัง และตายลงอย่างไร้ญาติ ฉันไม่เคยเชื่อว่าผู้คนเหล่านี้จะดื้อด้านไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐประกาศใช้ คนที่สิ้นใจตายอยู่ในบ้าน “เขาหยุดเชื้อและตายเพื่อใคร” ฉันไม่อาจรู้สึกสดใสเบิกบานได้ ขณะที่ข่าวสารการสูญเสียล้มตายเกิดขึ้นทุกมุมถนน …โดยไม่อาจชลอเหนี่ยวรั้ง ยื้อยุดได้ ขอรับความรู้สึกเศร้าสะเทือนใจให้มันห่มคลุมชีวิตให้สาสม เพื่อสื่อถึงวิญญาณทุกข์อันเรี่ยราย ริมทาง
………ขณะเรายังมีชีวิต มีรู้สึกและรับรู้ ความเจ็บป่วยและความตายช่างง่ายดาย มันเคาะประตูเตือนเราอยู่ทุกเวลา และโรคระบาดคราวนี้ ได้เข้ามาแทรกแซงทุกความสัมพันธ์เดิมของมนุษย์ แม้ไม่ได้โกรธเกลียด อาฆาตแค้น แต่เราก็เริ่มพิจารณาว่า ”จะเผาผีใคร”ได้บ้าง? เราเยี่ยมไข้ และกล่าวคำอำลาอาลัยได้เพียงบนโลกสมมติ ..ผ่านสื่อโซเชี่ยล เพื่อนหลายคนหายไปจากหน้าเฟซฯ เมื่อก่อนอาจคิดไปว่าเขาคงกดยกเลิกเพื่อน หรือบล๊อคเฟซฯเรา แต่มาระยะหลังนี้อดคิดไม่ได้ ว่าเพื่อนกำลังเผชิญเหตุ และบางคนก็จากไปอย่างถาวร อดสงสัยไม่ได้ก็ยังอุตส่าห์ย้อนส่องไทม์ไลน์เพื่อน …หวังว่าเพื่อนคงแค่เปลี่ยนเฟซฯใหม่ แม้เราจะคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง เหม็นเบื่อกับบางตรรกะของกันและกัน แต่ก็ไม่อยากให้ใครต้องจากพรากไปก่อนวัยอันควร (ซึ่งก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าควรจะเมื่อไหร่) สังคมเราไม่อนุญาตให้พูดเรื่องความตาย(ทั้งที่เราต่างต้องตายกันทุกคน ) และความตายอาจมาพรากฉัน ด้วยโรคระบาดหนนี้ การกล่าวลากันขณะยังมีชีวิต มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ และระหว่างยังมีชีวิตอยู่ อะไรที่พอเกื้อกูลกันได้ก็ควรเกื้อกูลกัน ส่วนการส่งเสียงถึงฝ่ายนโยบายให้รับผิดชอบต่อความล้มเหลว ผิดพลาด ..อย่างซ้ำซากก็ยิ่งควรทำ!! เพราะการนิ่งเฉยดูดาย เป็นอาชญากรรมอีกชนิดหนึ่ง.