เมตตา(ตรา)บาป

บทความโดย ฟองเวลา

ภาพโดย ฟองเวลา

ช่วงนั้น!!! ฉันเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ติดสอยห้อยตาม’ครู’ คนหนึ่งไปในที่ต่างๆ เขาเป็นครูโดยแท้ คือเรียนจบครู ไม่สอบบรรจุหากแต่ทำกิจกรรมสังคมกับคนชายขอบต่อเนื่องจากสมัยเป็นนักศึกษาเรื่อยมา ห้องเรียนใหม่คือการเรียนรู้กับผู้คนในชุมชนชายขอบของการพัฒนา ….สำนึกบางสิ่งผูกพันแน่นแฟ้น
นานหนฉันถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้งหนึ่ง ได้มารับรู้ภายหลังว่า ช่วงนั้นอีกเช่นกันที่พี่สาวคนโตของฉันปรับทุกข์กับแม่ว่า น้องชายคนนี้คงเป็นคนบ้าเสียสติไปแล้ว ‘เสียสติ’คือสูญเสียสามัญสำนึกอันเป็นสำนึกพื้นฐานของมนุษย์ทั่วๆไป ใครมีพฤติกรรมผิดแปลกแตกต่างไปตากเดิม จากคนทั่วๆไป เบื้องแรกต้องคะเนไปก่อนว่า “มันเสียจิต” “ขาดหุ้น” “ไม่ไคร่บาย”

ภาพจาก BlogGang

วันหนึ่งเมื่อฉันแวะมาเยี่ยมบ้าน ฉันพบว่า ‘ไอ้มุ่น’ หมาเลี้ยงพันธุ์ไทยเพศผู้ตัวสีดำผู้มีดวงตาละห้อยคล้ายตาของหมีแพนด้า กลายเป็น’ หมาทุพลภาพ ‘ ร่างกายท่อนล่างตั้งแต่สะโพกลงไปไร้ความรู้สึก น้องเล่าว่าสาเหตุมาจากถูกรถยนต์ชนเข้าในวันหนึ่ง ‘ไอ้มุ่น’ต้องใช้ชีวิตท่อนเดียวด้วยการลากขาหลังไปมาอยู่ใต้คลังคาโรงจอดรถ ในวันที่มันเบื่อที่นอนอับๆ ก็อาจลากสังขารออกมาผึ่งแดดบนลานดินนอกชายคาโรงรถ มันลากตัวเองไปมาอยู่แถวนั้นจนโคนขาหลังที่ครูดสัมผัสพื้นตลอดเวลานั้นเกิดแผล คงเป็นอยู่เช่นนั้นมาแล้วหลายเดือน และคงเป็นเช่นนั้นต่อไปอีกนานเท่าไหร่มิอาจรู้ได้ถ้า….
วันนั้นฉันรู้สึกสมเพชเมตตา’ไอ้มุ่น’ เป็นกำลัง หวกไม่ได้ทำอะไรเพื่อมันบ้าง ฉันคงต้องแบกความกังวลเรื่องนี้ไปครุ่นคิดให้เป็นทุกข์เล่นอีกหลายวันเป็นแน่ ฉันจึงออกแบบประดิษฐ์’สเก็ตบอร์ด’เพื่อ’ไอ้มุ่น’ ทำจากเศษไม้กระดานที่หาได้แถวนั้น ใส่ล้อพล๊าสติกที่ถอดงัดมาจากรถเด็กเล่น ทำสายรัด ฉันจับไอ้มุ่นขึ้นไปอยู่บน’สเก็ตบอร์ด’ ให้ลำตัวตั้งแต่หน้าท้องไปถึงข้อเข่าวางอยู่บนกระดาน ส่วนลำตัวท่อนหน้ายังเป็นอิสระ ใช้ขาหน้าลากสเก็ตบอร์ดไปมาได้ระยะไกลขึ้นโดยที่ขาหลังไม่ต้องลากถูไปกับพื้นเหมือนเคย ฉันยิ้มอย่างพึงพอใจในปัญญาประดิษฐ์ของตัวเอง
‘ไอ้มุ่น’ ดูจะไม่คุ้นกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ฉันประดิษฐ์ขึ้นด้วยจิตเมตตา ฉันต้องใช้เสียงกระตุ้นเพื่อให้มันขยับตัวไปข้างหน้า ยามนั้นมันชำเลืองดวงตาละห้อยที่คล้ายหมีแพนด้าขึ้นมองเจ้าของเสียงกระตุ้น ฉันคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักสองสามวันมันจึงจะค่อยๆคุ้นกับอุปกรณ์ชิ้นใหม่ เมื่อฉันเดินทางไปศึกษาต่อ คือไปศึกษาเรียนรู้ปัญหาชุมชนที่ฉันเรียนมาพักหนึ่งแล้วนั่นแหละ น้องสาวส่งข่าวมาบอก “ไอัมุ่นตายแล้ว” ตายไปกับสเก็ตบอร์ดหมาๆที่ฉันประดิษฐ์ให้ “มันไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ และสุดท้ายก็ป่วยตาย! ” ลึกๆแล้วฉันรู้สึกผิดบาป นึกโกรธตัวเองอยู่เหมือนกันที่เป็นต้นเหตุทำให้’ไอัมุ่น’ ตายเร็วขึ้น แต่ฉันไม่มีเวลานั่งเสียใจกับมัน
บางที! ความเมตตาปราถนาดีของเราอาจทำร้ายผู้อื่นสิ่งอื่นโดยไม่ตั้งใจ สามัญสำนึกสอนเช่นนั้น.
*ยี่สิบปีแล้ว เหลือแต่ภาพจำของ’ไอ้มุน’