หากเอ่ยถึงคำว่า “เขตพิเศษ” ในประเทศไทย เราอาจรู้จักและคุ้นเคยกับคำว่า “เขตเศรษฐกิจพิเศษ”
(Special Economic Zone) แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้สำหรับการประกาศเขตพื้นที่บริเวณใดบริเวณหนึ่ง
โดยเฉพาะ เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริม สนับสนุน และอำนวยความสะดวก รวมทั้งให้สิทธิพิเศษบางประการ
ในการดำเนินกิจการต่าง ๆ เช่น การอุตสาหกรรม เกษตรกรรม พาณิชยกรรม การท่องเที่ยว การบริการ ฯลฯ
โดยกำาหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆ มีอำนาจดำเนินการปรับแผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ หรือแผนอื่นใด
ของจังหวัด ให้สอดคล้องและเป็นการส่งเสริมหรือสนับสนุนการดำเนินการของเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยทุกหน่วยงาจะมีแผนมีนโยบายที่สอดคล้องและรองรับแนวคิดเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว
ในเมื่อเรามีแนวคิดและระเบียบที่เอื้อต่อการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำไมเราจึงไม่สร้างสรรค์แนวคิดในทำนองเดียวกันเพื่อปกป้องคุ้มครองผู้คนที่เป็นชนพื้นเมืองซึ่งมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและกำลังถูกทำให้เป็นกลุ่มชายขอบที่ค่อย ๆ สูญเสียอนาคต ที่ดิน วิถีชีวิตและศักดิ์ศรีไป?
สำหรับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางธรรมชาตินั้น เราก็มีกฎระเบียบเพื่อ “เขตพิเศษ” ทางสิ่งแวดล้อม
อาทิ เขตคุ้มครองสิ่งแวดล้อม อุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติ
ฯลฯ แต่ทำไมเราจึงมืดบอดต่อการทำนุบำรุงและฟื้นฟูวัฒนธรรมที่กำลังจะเสื่อมถอยลง?
เราควรจะใช้แนวคิดเขตพิเศษต่าง ๆ เหล่านี้ในการทำความเข้าใจเพื่อนำไปสู่แนวคิด “เขตวัฒนธรรมพิเศษ”
อันจะนำมาซึ่งการกำหนดนโยบายที่จะช่วยปกป้องคุ้มครองวัฒนธรรมและกลุ่มคนผู้เป็นเจ้าของวัฒนธรรม
ซึ่งต้องครอบคลุมทั้งพื้นที่เชิงกายภาพและอาณาบริเวณของวัฒนธรรม เช่น การสร้างความมั่นคงในพื้นที่
เพื่อการอยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือพื้นที่ทางจิตวิญญาณ (เช่น พื้นที่สุสาน) ดังนั้น ประเทศไทย
ควรจะมี “เขตวัฒนธรรมพิเศษ” หรือ “เขตคุ้มครองทางวัฒนธรรม” ขึ้นเพื่อปกป้องคุ้มครองกลุ่มชาวเลและ
ชนพื้นเมืองผู้ที่กำลังเผชิญภัยคุกคามจากปัจจัยต่าง ๆ รวมทั้งมีกฎระเบียบที่รับรองกติกาของท้องถิ่นที่เอื้อ
ต่อการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์ด้วยกันและระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ.
ที่มา : หนังสือทักษะวัฒนธรรมชาวเล ร้อยเรื่องราวชาวเล / ศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธรฯ/อ.นฤมล อรุโณทัย หน้าที่ 251