ทานเช้า

บทความโดย ฟองเวลา

ภาพโดย ฟองเวลา

คันแรกเป็นรถยนต์เก๋งฮอนด้า สภาพกลางเก่ากลางใหม่แล่นนำหน้าเข้าไปจอดในเต๊นท์หน้ากุฏิ คันที่ขับตามหลังมาเป็นปิ๊กอัพตอนครึ่ง สภาพเก่ามีรอยบุบบู้หลายจุด คล้ายผ่านการใช้งานมาอย่างสำบุกสำบัน เลี้ยวไปจอดใต้ร่มไม้หน้าเต๊นท์ ตรงป้ายทะเบียนด้านหน้าของรถเก๋งมีช่อดอกดาวเรืองผูกอยู่ คนหนุ่มเป็นผู้ขับ เมื่อเขาเปิดประตูรถและก้าวออกมาทำให้เห็นว่าในมือเขายังมีช่อดอกไม้อีก 2 กำ หญิงสาวที่นั่งคู่กันมากับคนหนุ่มดูท่าจะเป็นสามีภรรยากัน ชายสูงวัยซึ่งศีรษะขาวโพลน แต่งตัวภูมิฐานเป็นผู้ขับปิ๊กอัพคันเก่า เขาเป็นผู้เข้าไปแจ้งกับหลวงพ่อว่าจะเอารถยนต์มาให้หลวงพ่อช่วยเจิมแป้งให้ ได้ยินฝ่ายหญิงเป็นผู้ตอบว่ายอดเงินสดค่ารถยนต์คันนี้อยู่ที่แสนกว่าบาท เมื่อถูกหลวงพ่อถามถึงราคารถ ทั้งสามเข้าไปในกุฏิ นั่งฟังเสียงบริกรรมพุทธคาถาเสกน้ำพระพุทธมนต์ หน้าโต๊ะหมู่บูชา ‘..พระสงฆ์สาวกผู้เชื่อฟังของพระผู้มีพระภาคเจ้า..’ เสียงแว่วใจความตามบทสวดแปล สักครู่เดียวก็ออกมาทำพิธีเจิมแป้ง ผูกผ้าที่พวงมาลัยรถพร้อมบริกรรมท่องสวด แม้จะเริ่มหิวแล้วแต่ฉันก็ยังแค่นกวาดใบไม้แห้งซึ่งเปียกแล้วเพราะฝนตกต่อเนื่องสองสามวัน อาศัยช่วงที่ฝนหยุดออกไปกวาดคุ้ยใบไม้แห้งใส่รถเข็น ขณะกวาดคุ้ยจิตใจไม่ได้อยู่ที่ไม้กวาดทางมะพร้าว ไม่ได้อยู่ที่ด้ามจับที่คุ้ยขยะ มันเลี้ยวไปโน่น ออกไปนี่ ส่วนใหญ่แล้วมักกลับไปในอดีต ไปคิดในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วอย่างทบทวนตอกย้ำ แล้วปรุงแต่งเสริมต่อไปสู่อนาคต ระหว่างนั้นความหิวในกระเพาะสามารถดึงความรู้สึกกลับมาอยู่กับอารมณ์ปัจจุบันได้เป็นระยะๆ เหลือบมองอยู่บ่อยว่าที่หน้ากุฏิเสร็จพิธีกรรมกันแล้วหรือยัง? รถยังจอดที่เดิม พระยังบริกรรมคาถาอยู่หลังพวงมาลัย คนหนุ่ม คนสาว คนแก่ยังยืนค้อมตัวอย่างสำรวมอยู่ข้างรถ ฉันก้มหน้ากวาดใบไม้แห้งแฉะต่อไป อีกครู่ใหญ่ๆจึงได้ยินเสียงเรียกมาจากข้างหลัง “บ่าว บ่าว พี่บ่าว” ฉันได้ยินแต่ไม่ได้หันไปมอง ยังคงกวาดคุ้ยต่อ “บ่าว!! พี่บ่าว” เสียงใกล้เข้ามาจนรู้สึกได้ว่าคนเรียกกำลังเดินเข้าหา ฉันหยุดจากงานคุ้ยเขี่ยหันไปมองตามเสียงเรียก ชายผู้อยู่ในวัยหนุ่มยื่นมือที่มีแบ๊งค์ร้อยสีแดงพับม้วนอย่างไม่เป็นระเบียบอยู่ในกำมือมาที่ฉัน และเอ่ยขึ้น “..เอ้า ..ให้!!” ฉันรีบยกมือขึ้นโบกพร้อมกล่าวปฏิเสธ “ไม่ไม่ ไม่รับ.. เอาไปใส่ในตู้บริจาคโน่นก็ได้” ฉันบุ้ยใบ้ชี้แนะให้เขาทำบุญโดยบริจาคเป็นค่าน้ำค่าไฟวัดซึ่งมีตู้ไม้ติดป้ายบอกเจตจำนงอยู่ข้างตู้ วางอยู่ในกุฏิหลวงพ่อ มีสายยูกับแม่กุญแจเฝ้าประตูแน่นหนาส่วนลูกกุญแจนั้นอยู่ที่กรรมการวัดคนใดคนหนึ่ง …ระบบรักษาความปลอดภัย ปลอดคำครหา ตามมาตรการขั้นสูงคล้ายระบบกดปุ่มอาวุธนิวเคลียร์ในเรือดำน้ำ!! “คือ …ผมตั้งใจจะทำทานด้วย ..มันจะได้ครบองค์ประกอบ” เขาตอบกลับด้วยสีหน้าแววตาเหมือนอยากอ้อนวอนให้ฉันเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายซ้ำอีกและโปรดให้ความร่วมมือแก่เขาด้วยเถิด..

ภาพโดย ฟองเวลา

แวบแรกนั้นฉันบอกตัวเองว่า’กูไม่ใช่คนยากไร้ เห็นกวาดขยะอยู่ที่วัดนี่ ก็มีภารกิจจำเพาะเจาะจง’ ตัวตนเดิมยึดกุมจิต แต่แวบต่อมาก็คิดอีกแบบอย่างรวดเร็ว ‘รึสภาพกูมันเป็นเช่นที่เขาเห็น …แต่กูไม่เห็นตัวเอง’ ‘ก็รับเสียสิ ให้เขาสมประโยชน์แล้วเราก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก’ ฉันค้อมตัวเล็กน้อยตอนยกมือขึ้นไหว้ทั้งที่มีไม้กวาดและที่ตักขยะอยู่ในมือ รับแบ๊งค์ร้อยยับยู่ใบนั้นพาไปเหน็บไว้ข้างกุฏโดยมิได้คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากมันเช่นไร แล้วเดินกลับมากวาดคุ้ยใบไม้แห้งแฉะต่อเพราะมีรถยนต์ปิ๊กอัพอีกคันเข้ามาจอดจ่อคิวทำธุระกับหลวงพ่อเป็นรายต่อไป เช้านี้มีคนมาถวายสังฆทานตั้งแต่เช้า ตั้งแต่หลวงพ่อยังฉันมื้อเช้าไม่เสร็จที ทุกครั้งที่ค้อมหัวต่ำให้ผู้อื่น พื้นที่ใจจะสูงขึ้น …ไม่มีแอ่งให้น้ำขัง.[11 มิถุนายน 2564]