บทความโดย ฟองเวลา
มันเป็นมรดกตกทอดจากพี่ขายที่อายุห่างกันสองปี พอเขาขึ้นปอ 2 ผมก็ได้เข้าปอ 1 โดยอัตโนมัติ แม้อายุจะยังไม่ถึงเกณฑ์บังคับ ปีนั้นโรงเรียนบ้านป่า ขยายชั้นเรียนถึงปอ 5 และปอ 6 ในปีถัดไป พ่อว่านักเรียนมีน้อย ครูใหญ่ต้องการให้มีเด็กเข้าเรียนเยอะจึงรับเด็กที่ยังไม่ถึงเกณฑ์เข้าเรียนด้วย พ่อแม่ก็คงได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ เท่ากับเอาลูกไปฝากให้ครูช่วยเลี้ยงให้ แค่หาชุดนักเรียนหลวมๆสักชุด และคดข้าวห่อสำหรับมื้อกลางวันให้
บางเด็กนุ่งกางเกงมรดกนานปี จนก้นขาดเห็นตูดกระดำกระด่างเพราะไม่มีกางเกงในนุ่ง มันก็ธรรมดาอยู่ที่เด็กบ้านป่าวัยต่ำกว่า 7 ขวบ ในสมัยนั้นยังแก้ผ้าโทงๆ อยู่กับบ้าน เด็กผู้หญิง ก็อาจกางเกงขาสั้นตัวเดียวที่เนื้อผ้าหดร่นตามอายุการใข้งาน หรืออาจเป็นผ้าถุงผืนเก่าๆ เล่นดิน เล่นทรายจนเนื้อตัวพุพอง แก้มก้นกระดำกระด่าง ขรุขระ ง่ามนิ้วเต็มไปด้วยตุ่มหิด และเหาเต็มหัว แถมด้วยชันนะตุอย่างกะพื้นผิวดวงจันทร์
‘ทรงนักบวช’ เป็นทรงผมยอดฮิตสำหรับเด็กบ้านป่าในเวลานั้น และแม้จะเข้าโรงเรียนแล้วพ่อแม่ก็ยังนิยม’จับโกนหัว’ เพราะมันง่ายต่อการทำความสะอาด ป้องกันเหาได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นทรงผมราคาถูก แค่ใบมีดโกนเล่มเดียว ราคา 2 บาท โกนได้คราวละหลายหัวและยังสามารถทาน้ำมันพืชเก็บไว้ใช้คราวต่อไปได้อีก พ่อหรือแม่เราไม่จำเป็นต้องไปฝึกวิชาชีพตัดผมจากที่ไหน สำหรับผมทรงพระ …ไม่ต่างจากลูกเป็ด เมื่อออกจากไข่ก็สามารถว่ายน้ำได้โดยไม่ต้องมีใครฝึกหัดให้ ส่วนบาดแผลที่เกิดจากคมมีดพลาดไปโดนตุ่มตาบนหนังศีรษะจนมีเลือดซิบๆบ้างนั้น คิดเสียว่าถ่ายเลือดดื้อออกเสียบ้างจะเป็นไร!!
ทรงหัวโล้นจึงไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพศชาย เด็กทุกคนมีโอกาสเป็น”ไอ้หัวล้าน” และเป็น “ยายชี” ด้วยกันทั้งนั้น
เราต้องตื่นเช้ากันหน่อย วิ่งไปอาบน้ำที่บ่อซึ่งอยู่ริมห้วยห่างบ้านราว 30 เมตร ขากลับจากบ่อน้ำก็หิ้วแกลลอนบรรจุน้ำขนาด 5 ลิตร เดินขึ้นทางลาดจากริมห้วยกลับมาเทใส่โอ่งข้างบ้านด้วย สวมชุดนักเรียนตามมีตามเกิด เสื้อ กางเกง กระโปรง กับรองเท้าแตะหรือบางคนก็เท้าเปล่า กินข้าวเช้า ห่อข้าวไปกินมื้อกลาง ส่วนใหญ่ไม่มีกระเป๋าหนังสือ บางคนใช้ย่ามพระ บ้างใส่หนังสือในถุงพล๊าสติก เดินไปตามถนนฝุ่นระยะทางกว่า 3 กิโลเมตรเพื่อไปเรียนหนังสือ
แถวบ้าน บ้านเราถือว่าเป็นเด็กที่ต้องเดินไกลกว่าคนอื่นๆ เดินตามๆกันไป ขึ้นเนิน ลงหุบ พี่ๆผู้หญิงพยามดึงรั้งน้องชายคนเล็กให้เดินทันกัน ส่วนพี่ชายพอเดินทันกลุ่มเพื่อนก็สับเท้าลิ่วหายไปไกลแล้ว ระหว่างทางผมรู้สึกปวดอึเต็มกำลัง ครั้นจะแวะข้างทางก็เกรงจะทำให้ทุกคนพลอยสายไปด้วย โดยปกติแล้วครอบครัวเรามักไปถึงโรงเรียนก็ตอนที่เด็กคนอื่นๆเริ่มตั้งแถวแล้วเป็นประจำ ความเร่งรีบทำให้และเครียดกังวลช่วยชลอระบบขับถ่ายได้ชั่วขณะ ถึงโรงเรียนก็ต้องรีบวิ่งกันไปเข้าแถวเคารพธงชาติซึ่งเด็กนักเรียนคนอื่นยืนแถวกันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว
เพลงชาติกำลังเริ่ม ธงไตรรงค์ค่อยๆไต่ขึ้นยอดเสาไม้ไผ่ตงตามแรงดึงเชือกของนักเรียนชาย-หญิง เสียงเพลงชาติดังกระท่อนกระแท่นเป็นจังหวะสูงๆ ต่ำๆ ผมเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาให้แนบชิดยิ่งขึ้น เมื่อรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อหูรูดทวารไม่อาจปิดกั้นของเสียได้แล้ว …หูอื้อ เหงื่อซึม
อุณหภูมิในร่างกายแปรปรวน ยืนขบริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ เพื่อนที่ยืนข้างๆเริ่มหันมามอง และขยับตัวออกห่างพร้อมกับยกมือขึ้นปิดจมูก
แถวของนักเรียนชั้นปอ 1 และปอ 2 เริ่มแตกออก
สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่จุดเกิดเหตุอันเป็นต้นทางของกลิ่นไม่พึงประสงค์ ดวงตาบางคู่ส่อแววอาทรเห็นใจ แต่ดวงตาส่วนใหญ่บอกอาการรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
ผมรู้สึกเหมือนถูกรุมประชาฑัณฑ์ด้วยสายตา อยากมุดแผ่นดินหนีให้เหมือนในนิทาน’ขอมดำดิน’ รู้สึกได้ว่าของเหลวข้นๆ ไหลทะลักผ่านแนวต้านสุดท้าย ถึงตอนนั้นก็เลิกเกร็งกล้ามเนื้อขา ยอมแพ้ต่อข้อเท็จจริงตามธรรมชาติ
เมื่อคุณครูเดินมาเข้ามาใกล้แถวเพื่อจะดูว่ามีเหตุร้ายอะไรที่ทำให้แถวเคารพธงชาติซึ่งควรศักดิ์สิทธิ์กลับรวนเรแตกกระเจิง นักเรียนคนหนึ่งชิงฟ้องครูด้วยเสียงอันดัง “คูคับ …….ขี้แตกใส่กางเกงคับ!!” ตอนนั้นผมยืนโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางวงล้อมของนักเรียนซึ่งขยายออกกว้างเพื่อให้พ้นรัสมีกลิ่น วงล้อมยิ่งขยายใหญ่เมื่อครูเดินเข้ามา
สิ่งเดียวที่สำนึกสั่งให้ทำคือร้องไห้เสียงดัง ครูเรียกให้พี่ชายพาน้องไปบขี้ข้างในลำห้วยหลังโรงเรียน อย่างไม่เต็มใจนัก พี่ชายลากฉุดแขนข้างหนึ่งของผมให้เดินตามเขาไปยังลำห้วย ผมเปียกไปครึ่งท่อนตัว และของเสียที่ติดตามตะเข็บกางเกงยังรบกวนจมูกอยู่ตลอดทางแม้ว่าจะล้างแล้ว
เป็นอันว่าวันนั้นผมได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ทันทีโดยมีพี่ชายเดินมาส่ง และเขาก็ต้องรีบวิ่งกลับเพื่อไปเข้าห้องเรียนต่อ เมื่อเดินผ่านบ้านชาวบ้านก็จะมีคำถามตลอดเส้นทางว่าทำไมรีบกลับ พี่ชายเป็นคนคอยตอบคำถามว่า”น้องขี้ใส่ผ้า” โดยคนผิดเดินก้มหน้าไม่ไปมองใคร
ยุคนั้นเราเป็นเช่นนั้น เป็นไปตามสภาพการณ์แห่งยุคสมัย ….แต่งชุดอะไรก็ได้ ที่ไม่เป็นการปิดกั้นรบกวนพลังสร้างสรรค์แห่งสมองเพื่อนร่วมชั้นเรียน โดยเฉพาะกลิ่นอันไม่เป็นที่ปรารถนา.