โดย ฟองเวลา
ปีนั้นเขาตัดสินใจขาย’ไอติมกะทิสด’ แทนการเป็นกรรมกรหิ้วถังปูนซึ่งหนักเหนื่อยกว่ากัน แต่งานขาย’ไอติมตัก’ก็ใช่จะง่าย การเป็นพ่อค้าหน้าใหม่ในพื้นที่ซึ่งคนอื่นครอบครองอยู่ก่อนมันช่างยากเย็น เพื่อลดการปะทะขัดแย้งกันเขาจึงเลือกถนนสายรองซึ่งค่อนข้างเปลี่ยวเป็นเส้นทางเร่ขาย ลูกค้าที่พอมีบ้างก็คือเด็กลูกคนงานชาวพม่า หรือไม่ก็คนงานในโรงงานที่อยู่ชายทะเล เขาพบว่า หน้าตา เนื้อตัวและบุคลิกภาพของผู้ขายก็มีส่วนสำคัญกว่าคุณภาพและรสชาติของอาหาร สายของวันหนึ่ง ขณะขับสามล้อพ่วงข้างที่ดัดแปลงเป็นรถขาย’ไอติม’ ออกจากบ้านมากว่าเจ็ดกิโลเมตรโดยยังขายไม่ได้แม้สักบาท แต่ก็ใกล้จะถึงแหล่งชุมชนแล้วล่ะ ชายพเนจรผู้หิ้วถุงพะรุงพะรัง เดินริมถนนอยู่ในย่านเดิมเช่นวันก่อน สังเกตอาการเดินก้มหน้างุดๆก็คาดคำนวณว่าด้วยลักษณะการก้าวเท้า ความมุ่งมั่นสัมพันกับความเร็วระดับนี้ ชายพเนจรน่าจะทำระยะทางได้ไม่น้อยกว่า ๔๐ กิโลเมตรต่อวัน แต่… เขากลับไปไม่ถึงไหน ยังเดินอยู่ย่านเดิม …เป็นการเดินทางอยู่กับที่!!!
ในฐานะเพื่อนมนุษย์ เขาเชื่อว่าทุกคนมีทุกข์ ทุกข์แตกต่างกันไป เขาแบกทุกข์น้ำหนัก ๗ กิโลกรัมมาเกือบค่อนวัน ปริมาณไอศกรีมน้ำหนักรวม ๗ กิโลกรัมในถัง ถ้าตักอย่างมืออาชีพ และขายได้หมดถังเขาอาจมีกำไรมากกว่าห้าร้อยบาทต่อวัน ส่วนชายพเนจรผู้เดินทางไม่ถึงไหน ก็น่าจะมีความทุกข์ในอีกแบบซึ่งเขาไม่รู้ ….แต่การแสดงความเอื้อเฟื้อเห็นใจกันของคนทุกข์ก็นับเป็นเรื่องทำได้ และควรทำ เขาบรรจงตัก’ไอติมกะทิสด’วางบนแผ่นขนมปัง สอดไส้ด้วยข้าวเหนียวมูน ฟักทองต้มหั่นเป็นชิ้นเล็ก โรยด้วยถั่วลิสงคั่ว ราดทับด้วยนมข้น แล้วใช้แผ่นขนมปังปิดทับอีกที ห่อด้วยกระดาษซับมัน เดินสับเท้าเร็วจนทันชายพเนจร “เอ๊า ไอติม” เขาพูดพร้อมยื่นไอติมในมือให้ชายพเนจร แต่ชายพเนจรเดินผ่านโดยเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อหลบมือชายแปลกที่มายืนขวางทางอยู่ เขาไม่ละความพยายาม เดินเร็วๆแซงขึ้นหน้าแล้วไปหยุดยืนขวางเต็มทาง “เอ๊า ผมให้ไม่คิดตังค์หรอก” เขาพูดพร้อมยื่นไอติมให้ “ไม่กิน!!” ชายพเนจรตอบกลับ ห้วนสั้น เขาหันมองซ้าย- ขวา เมื่อไม่เห็นว่ามีใครจับจ้องเหตุการณ์ระหว่างชายสองคนริมถนน เขารีบเดินตัดข้ามถนนกลับไปยังรถพ่วงข้าง ในใจก็สบถด่า ‘ไอ้บ้าเอ๊ย มึงมันเป็นไอ้คนบ้า กูอุตส่าห์เมตตาแบ่งไอติมให้ ถึงไม่รับเดี๋ยวก็หิวเป็นลมพอดี ไอ้คนบ้าเอ๊ย!!’ เขากัดกินขนมปังสอดไส้ไอติมกะทิจนหมดชิ้น แล้วสตาร์ทรถมุ่งหน้าไปยังโรงงานอาหารทะเล ..ใกล้เวลาพักเที่ยงแล้ว น้ำหนักความทุกข์ ๗ กิโลกรัมยังไม่ถูกผ่อนถ่าย.
ปล. แอบหยิบภาพมาจากเฟชบุ๊ก : เร็กเก้ โคโค้แมน