บทความโดย ฟองเวลา
ฝ่ายความมั่นคงไทยได้ใช้ประโยชน์จากกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆซึ่งมีพื้นที่เขตอิทธิพลติดต่อกับแนวชายแดนไทยในประเทศเมียนมาร์ มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ภาคเหนือคือกองกำลังไทยใหญ่ ไล่ลงมาเป็นกองกำลังกะเหรี่ยงอีก 2 กลุ่ม แล้วก็มีกองกำลังชนชาติมอญ ไทยได้ประโยชน์จากการมีกองกำลังเหล่านี้เป็น”แนวกันชน” ไว้ปะทะกับทหารพม่า แลกกับการเป็น”แนวหลัง”เป็น”หลังพิง”ให้กับกองกำลังเหล่านี้ จะพูดให้ตรงเข้าไปอีกคือ กองกำลังเหล่านี้ได้ทำหน้าที่ป้องกันประเทศ เป็นรั้วนอกสุดด้านชายแดนตะวันตก คงจะเป็นนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐไทย ตลอดยุคเผด็จการทหารในพม่า เหตุการณ์กองกำลังก็อตอาร์มีมาซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของกะเหรี่ยงบุกยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี ในปี 2542 นั่นคือการปรับเปลี่ยนนโยบายของฝ่ายเรา ว่ากันว่า รัฐพม่าและไทยตกลงผลประโยชน์กันได้ บริษัทพลังงานสัญชาติไทยได้สัมปทานขุดก๊าซในอ่าวเมาะตะมะ จึงต้องวางท่อเข้ามาเพื่อป้อนก๊าซให้โรงไฟฟ้าราชบุรี แนววางท่อบางส่วนอยู่ในเขตอิทธิพลของกะเหรี่ยง เพื่อผลประโยชน์ของผู้นำกองทหารพม่า กองทัพพม่าจึงเปิดยุทธการเข้าตีกะเหรี่ยง โดยฝ่ายไทยทำไม่รู้ไม่ชี้ และเมื่อกองกำลังกะเหรี่ยงถอยร่นมาติดพรมแดน ฝ่ายไทยก็ผลักดันกลับ ‘ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร มีแต่ผลประโยชน์เท่านั้นที่ยั่งยืน’ ฐานที่มั่นกะเหรี่ยงที่แข็งแกร่งสุดก็ต้องแตกพ่ายลง เพื่อเปิดทางให้กับแนวท่อก๊าซ มีคนตาย คนบาดเจ็บ คนหิว เด็ก คนแก่ พวกเขาจึงส่งกำลังมาที่โรงพยาบาลเพื่อขอหมอ และยาเท่านั้น แต่กองกำลังก๊อดอาร์มี่ก็ถูกเก็บเรียบ ตัวประกันฝ่ายไทยไม่มีใครได้รับอันตราย วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อกองทัพพม่ากับกองทัพไทยตกลงบางอย่างกันได้ ชนกะเหรี่ยงก็ต้องถูกถีบส่ง!!!