โลกเหวี่ยง ฟ้าดินกำหนด

บทความโดย ฟองเวลา

ภาพโดย ฟองเวลา

“พี่ศักดิ์นี่ประจำเลย ทำงานไม่เคยเรียบร้อย ไม่มีสมาธิ ใช้ของแล้ววางเกะกะเต็มไปหมด นั่นเดี๋ยวกะต้องถามหาอีกแหละ ถุงท่อมพี่อยู่ไหนเจี๊ยบ” เสียงบ่นอย่างไม่คาดหวังผลนักดังมาจากส่วนที่ใช้เป็นครัวของ’หนำโกโรโกโส’ หญิงวัยกลางคนหุ่นหนา ผิวคล้ำ คือต้นเสียงบ่น กำลังง่วนอยู่หน้าเตาไฟซึ่งมีไม้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง หลังคาสังกะสีเหนือเตาไฟเป็นสีดำคล้ำด้วยคราบเขม่าควันและความร้อนที่อบร่ำอยู่ทุกวี่วัน “แม่ม! ติเอาไอ้ไหรกับพี่นักหนาล่ะเจี๊ยบ …หือ!!” ผู้ถูกบ่นตอบโต้กลับไปอย่างเป็นอัตโนมัติ โดยเป็นการตอบโต้อย่างเคยชินและคงไม่ได้จริงจังอะไรกับคำบ่นและคำตอบ สังเกตได้จากที่เจ้าตัวยังกุมด้ามฆ้อน ตอกตะปูลงบนแผ่นไม้หมากโดยมิได้หันหน้ามองผู้เป็นภรรยา ฉันนั่งละเลียดกาแฟอยู่ใต้ต้นลองกองข้างขนำ และอดไม่ได้ที่จะแทรกแซงเรื่องของผัวเมียคู่นี้ “พี่ศักดิ์กับพี่เจี๊ยบต้องรู้ไว้นะ ว่าฟ้าดินเขาเหนื่อย ต้องแลกด้วยวิกฤตประชาธิปไตย วิกฤตเศรษฐกิจ จนเกิดรัฐประหารยึดอำนาจ ทำประชาธิปไตยถดถอยอย่างน่าใจหาย พาผู้คนในประเทศกลับสู่ยุคอำนาจนิยมสมบูรณ์แบบ กลายเป็นว่าต้องให้เด็กๆ น้องๆเยาวชนลุกขึ้นมาเป็นธุระเข็นรถประชาธิปไตยที่คนรุ่นเราขับหลุดโค้ง มาไว้บนเส้นทางที่ถูกต้อง ทั้งหมดนั่นเป็นเพียงผลกระทบโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่าไปโกรธโทษใครเลย ไม่ว่าจะเป็นลุงกำนัน กปปส. นปช. หรือลุงตู่ ฟ้าดินเขียนบทไว้ก็เพื่อให้พี่ศักดิ์กับพี่เจี๊ยบได้มาพบกัน เพราะฉะนั้นคุณต้องรักกันให้ดี ให้คุ้มกับการต้องสูญเสียหลายอย่าง” ช่วงท้ายประโยค ฉันปรับระดับเสียงให้ฟังน่าเชื่อถือ จริงจัง ทำทีคล้ายผู้อ่านราชโองการจากเจ้าเมืองอย่างในหนังตะลุง “เอ้อ! จริงๆ พี่กับพี่ศักดิ์อยู่กันคนละทิศ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาเจอกัน รู้จักกัน และใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นเพราะการได้ไปร่วมในม๊อบกปปส.นี่เอง พี่เลยได้เจอคนดีดีแบบพี่ศักดิ์” ฝ่ายภรรยาเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนการค้นพบความหมายใหม่ในความสัมพันกว่าหกปีที่ผ่านมา

ภาพโดย ฟองเวลา


ใช่… ทั้งคู่พบกันในม๊อบ กปปส. ฝ่ายหญิงเป็นอดีตครูผู้หน่ายระบบ ลาออกมาทำธุรกิจและหารายได้พิเศษด้วยการเป็นแม่ค้า ขายของกับผู้มาชุมนุม ฝ่ายชาย เป็นผู้ตื่นตัวทางการเมืองตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษารามคำแหง เป็นผู้นำชุมชน และเป็นลูกค้าเจ้าคารมในม๊อบกปปส. ยังมีเรื่องเล่าจากปากเจ้าตัวเองว่า คราหนึ่งหลังความขัดแย้งรุนแรงระหว่างสีเสื้อ เขาเคยไล่รถพ่อค้าเร่ออกจากซอยที่บ้าน เพียงเพราะพ่อค้าคนนั้นเป็นคนจากภาคอีศาน “ผมข้องใจ แปลกใจ เพราะพี่คนที่ผมเคยรู้จักเป็นประเภทภูมิภาคนิยมจ๋า รักพวกพ้องจนมองข้ามความไม่ถูกต้องเป็นธรรมที่ฝ่ายตนเป็นผู้ก่อ แต่วันนี้พี่เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังตีน พี่หนุนเด็กเด็ก น้องน้องเยาวชนปลดแอก!!” ฉันตั้งคำถามอย่างไม่อ้อมค้อม “ตอนนี้พี่ตื่นแล้ว ที่ผ่านมาพี่นึกว่าตัวเองฉลาด แต่จริงๆคือโบ๋ พี่รู้สึกผิดที่ทำกับพี่น้องต่างสีเสื้อ” เขาตอบด้วยสีหน้าแววตาจริงจัง ก่อนกระเดือกกลืนคำกระท่อมที่เคี้ยวอย่างอ้อยอิ่งอย่างกับควายเคี้ยวเอื้อง ยกแก้วกาแฟที่ชงด้วยน้ำต้มเปลือกฝางขึ้นซดโฮกใหญ่
ยังมีข้อสนทนาอีกหลายประเด็นเพื่อคลี่คลายการหักเลี้ยวร้อยแปดสิบองศาของพี่แกซึ่งไม่สะดวกที่จะบันทึกเป็นลายลักษณ์
“รู้ม้าย ช่วงนี้พี่คิดถึงเพื่อนพี่สมัยเรียนมากมาย คิดถึงคำพูดของเพื่อนคนนั้นที่เดินออกจากห้องสมุดในตอนเย็นในรามคำแหง ท่ามกลางคนนับหมื่น มันเดินเฉยเหมือนไม่ได้ยินเสียงเพลงชาติทั้งที่คนทั้งหมื่นหยุดยืน มันว่า ..รักชาติไม่จำเป็นต้องแสดงออกด้วยการยืนเคารพเพลง!!”

ภาพโดย ฟองเวลา

“พี่มีกระดาษหนังสือพิมพ์ หรือเศษไม้ หรืออะไรที่ใช้ชำระ” ฉันถามเขาขณะยกจอบขึ้นบ่าเตรียมมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่เขาชี้ “ไม่ต้องน้อง เสร็จแล้วลงคลองเลย ไปชำระในคลอง” พี่เขาอธิบายวิธีใช้ส้วมป่าและการชำระหลังเสร็จกิจ เป็นบทจบการสนทนาที่หมดจดที่สุด.

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *