แผลใหม่(1)

บทความโดย ฟองเวลา

ภาพโดย ฟองเวลา

‘เทียนนั้นถูกจุดเพื่อการให้แสงสว่าง หลังจากนั้นผู้จุดจะอาศัยความสว่างเพื่อประกอบการอันเป็นประโยชน์อันใดก็สุดแล้วแต่ แสงเทียนมักถูกนำไปเปรียบเป็นแสงสว่างส่องนำชีวิต เมื่อประสงค์จะมอบความสว่างต่อสรรพสิ่ง ลำเทียนจำต้องเผาไหม้หลอมละลายตน ในชีวิตเรา มีไม่กี่คนและกี่สิ่งหรอก ที่เราจะยอมหลอมละลายตนเพื่อผู้นั้น สิ่งนั้น’
ในบรรดาญาติโยมที่เรียกได้ว่า’เป็นขาประจำ’ผู้มาพึ่งบารมีธรรมของพ่อหลวงอยู่ออกบ่อยนั้น มีเถ้าแก่สองพี่น้องจากในเมืองคู่หนึ่ง คู่นี้จะมาวัด เดือนละครั้งโดยเฉลี่ย และจำเพาะเจาะจงที่จะต้องถวายสังฆทานกับหลวงพ่อเท่านั้น รายอื่นๆก็มี ที่มีพฤติกรรมเลือกที่รักมักที่ชอบซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พอเข้าใจได้ การถวายสังฆทานในโอกาสต่างๆ เช่น วันเกิดตัวเอง วันเกิดสามี ภรรยา ลูกๆ ยังไม่พบว่ามีใครมาถวายสังฑทานเนื่องในวันเกิดหมาแมวสักที บางคนรู้สึกไม่สบายใจ ทำมาหากินไม่คล่อง ก็มาถวายสังฆทานแก้เคล็ด ลูกหลานสอบบรรจุเข้ารับตำแหน่งได้ ก็มาขอน้ำมนต์ ขอพร ขอด้ายมงคลไปผูกข้อมือเด็ก ออกรถใหม่ป้ายแดงก็ต้องมาให้หลวงพ่อเสกแป้งเจิมรถให้ มีอยู่รายหนึ่ง หลานสอบเข้าเรียนแพทย์หรือพยาบาลประมาณนั้นแหละ แต่หลานสาวสุดที่รักกลับเป็นคนกลัวผี จึงให้คุณตามาขอน้ำมนต์ ขอด้ายสายสิญจน์ไปผูกข้อมือ บ้างก็มาดูดวงตามตำราพรหมชาติ ว่าอายุระหว่างนี้พระประจำวันองค์ใดเสวยอายุ พระแต่ละองค์ก็ให้คุณให้โทษต่างกัน บางองค์เสวยอายุนานหน่อย 4 ปี 6 ปี 12 ปี โดยเฉพาะพระที่มีฤทธิ์ให้โทษมากๆ ก็ต้องทำพิธีบูชาสะเดาะเคราะห์ เช่นพระราหู พระอาทิตย์ พระพุธ “ที่คนเขาชอบมาหา มาเจาะจงหลวงพ่อเพราะเขาเห็นว่าหลวงพ่อทำพิธีสวดเต็มขั้นตอนคนเขาก็ชอบ ก็ศรัทธา” ถ้าจะพูดให้ทันสมัยก็ต้องเรียกว่าหลวงพ่อ’จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ’ให้เชียวล่ะ มาพักหลังๆตั้งแต่กลางปี 63 เป็นต้นมา การต้อนรับญาติโยมขาประจำก็ลดลง บางกิจก็ต้องโยนให้พระรูปอื่นทำแทน เนื่องด้วยสภาพร่างกายหลวงพ่อไม่อำนวย ทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหอบ ทั้งโรคกระเพาะ โรคไต ต่อมลูกหมาก ปวดเข่า ปวดขา และแพ้อาหารทะเล ไม่สะดวกที่จะทำพิธีให้ใคร เพราะเหนื่อยหอบ โรคหอบนี้คงเป็นผลจากการอยู่กับควันธูปควันเทียนมานานสามสิบกว่าปี แม้ว่ามาระยะหลังจะเลี่ยงการจุดธูป หันมาใช้ธูปเทียนไฟฟ้าตามคำแนะนำของหมอแล้วก็ตาม นั่นทำให้บ่อยครั้งญาติโยมต้องมาเก้อ เพราะหลวงพ่อลุกไปต้อนรับไม่ไหว หรือถ้าไม่ได้โทรมาเช็คความพร้อมล่วงหน้า ก็อาจมาเจอแต่กุฏิว่าง เพราะผู้อาศัยย้ายที่ไปนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาล
ในวันที่ร่างกายแข็งแรงพอหลวงพ่อจะพูดอธิบายต่อญาติโยมที่มาถวายสังฆทานด้วยท่าทีเกรงใจ ว่าขอใช้ธูปเทียนไฟฟ้านะ เพราะหมอห้ามเรื่องควันธูป และก็ได้ยินเสียงตอบรับอย่างนอบน้อมจากญาติโยมว่า “ไม่เป็นไรครับ” “ไม่เป็นไรคะ ” “ให้หลวงพ่อรับปิ่นโตอาหาร รับสังฆทานเฉยๆ ไม่ต้องสวดมนต์ ไม่ต้องกรวดน้ำก็ได้ สงสารกลัวหลวงพ่อจะเหนื่อย” บางญาติโยมแสดงความเข้าอกเข้าใจ สรุปว่าถ้ายังลุกไหว อย่างไรเสียหลวงพ่อก็พยายาม ‘จัดชุดเล็กให้’ แต่สำหรับคู่หูดูโอ้จากในเมืองจะได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ แม้ว่าลูกชายของหลวงพ่อที่มาอยู่คอยปรนนิบัติ จะเอ่ยเตือนต่อหน้าญาติโยมถึงอันตรายจากควันธูป พร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจนัก “ไม่ผรือ จุดห่างๆให้ควันลอยไปทางโน้น” คือตำตอบจากผู้ทำพิธี และคู่ดูโอ้ก็ดูจะเออออ คล้อยตาม ลูกชายหลวงพ่อเมื่อเห็นว่าจะทัดทานไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป็นช่วยประคับประคองด้วยการเปิดหน้าต่างให้อากาศระบายได้คล่อง เปิดพัดลมหันเหทิศทางควันธูป แล้วเดินหลบไปอยู่ที่อื่นเพื่อเลี่ยงการเพิ่มอารมณ์ขุ่นมัวในใจตน
มีอยู่เช้าวันหนึ่งที่อากาศหมองมัว ด้วยตะกอนขุ่นข้องนานาที่สะสมในใจ ลูกชายเอ่ยกับหลวงอย่างคับข้อง ว่า”หลวงพ่อเป็นคนป่วยที่ไม่ปฏิบัติตัวเคร่งครัดตามคำแนะนำของหมอ ทั้งเรื่องการกินอาหาร เลือกกินที่ชอบ เรื่องควันธูปก็เหมือนกัน ยังเลือกปฏิบัติกับบางคน ผมเกลียดการเลือกปฏิบัติอย่างที่สุด” และบางหนก็มีประมาณ “ถ้าพ่อยังเลือกตามใจปากตัวเอง พ่อก็ต้องยอมรับสภาพการเจ็บป่วยให้ได้นะ ผมพร้อมขับรถพาพ่อไปหาหมอดึกๆ แต่ผมเจ็บแทนพ่อไม่ได้ พ่อต้องเจ็บเอาเอง” วาจาตัดพ้อและแห้งแล้งจากสายเลือดตัวเองคงส่งผลให้เช้าวันหนึ่ง หลวงพ่อเอ่ยกับลูกชายว่า “ช่วงนี้พ่อหลวงสาคลายแล้ว เธอจัดแจงดับผ้ากลับบ้านได้แล้ว ทิ้งบ้านมาอยู่นี่ก็หลายเดือนแล้ว” หลวงพ่อพยายามรักษาระดับเสียงให้เป็นปกติ ในฐานะคนที่ตกเป็นรองในเกมส์ชีวิต ลูกชายไม่ได้ทำตามคำพ่อบอก เขารู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ ที่ตัวเองไม่อาจเก็บกลั้นอารมณ์ขุ่นหมองภายในไว้ได้
อย่างไรก็ตาม มาระยะหลังๆ ลูกชายพยายามจัดการอารมณ์ภายใน ด้วยการอยู่กับปัจจุบันตรงหน้า ไม่ย้อนคิดอดีต ไม่โหยหาอนาคต กดข่มใจยอมรับสถานการณ์ตรงหน้าและพยามหาความเพลิดจำเริญใจจากกิจกรรมกวาดใบไม้แห้ง ให้อาหารหมาวัด อ่านหนังสือ ท่องโลกโซเชี่ยล และเดินเลี่ยงไปที่อื่นยามที่ขาประจำจากในเมืองมาพบหลวงพ่อ ….เลี่ยงการเผชิญหน้ากับอารมณ์ขัดเคืองในตัวตน ‘
โจรขโมยจะไม่กล้าลงมือ ถ้ารู้ว่าเจ้าของบ้านรู้ตัวแล้ว และตื่นอยู่ แต่เจ้าของบ้านอย่างเราๆ มักหลับไหล เคลิ้มคล้อยไปกับคำหวานของโจร …ก็พยามรู้สึกตัวเข้าไว้ ‘ ใดๆก็เป็นอย่างนี้แหละ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *