บทความโดย ฟองเวลา
ฉันเล่าเรื่องราวของชายสุงอายุคนหนึ่งให้เพื่อนฟัง ชายคนนั้นเป็นคนบ้านป่าบ้านนอก เมื่อถึงวัยชราไร้เรี่ยวแรงทำงานก็อาศัยอยู่กับครอบครัวลูกชาย ชายชรามักมีอาการหลงๆ ลืมๆ บ่อยครั้งที่ลูกชายต้องเกณฑ์เพื่อนบ้านช่วยกันออกตามหาพ่อ ซึ่งมักจะเดินเรื่อยเปื่อยเข้าไปในสวน ทะลุออกป่า ไต่ขึ้นภูเขา!! ปัจจุบันแกเสียชีวิตแล้ว …ฉันไม่ได้สอบถามใครว่าแกตายด้วยสาเหตุอันใด ฉันชวนเพื่อนตั้งประเด็นคิด ว่าบางทีการเดินเข้าป่าของชายชรา แกอาจอยากไปตายในป่า ไปเพื่อไม่ต้องอยู่เป็นภาระลูกหลาน …เราไม่รู้หรอกว่าชายชราคิดเช่นไร!!! “ชั้นตั้งใจว่า เมื่อแก่เฒ่า และเริ่มรู้สึกป่วย ชั้นจะเตรียมเสบียงนิดหน่อย ออกเดินทางเข้าไปอยู่ในป่า ไปเรื่อยๆ ที่ห่างไกลผู้คน พอหมดเสบียงชั้นจะหิว อาการเจ็บป่วยก็จะกำเริบ คนชราที่ป่วยและขาดอาหาร ไม่นานก็ตาย มันจะเป็นการตายตามอายุขัย ตายตามกลไกธรรมชาติ คืนสู่ดิน สู่ธรรมชาติ ทุกวันนี้มนุษย์เราฝืนธรรมชาติ เราไม่ยอมตายกัน พยายามยื้อชีวิตด้วยเครื่องมือการแพทย์สมัยใหม่ แทนที่เราจะตายอย่างไม่ต้องเจ็บ ต้องทรมานนานนัก แต่เรากลับยื้อความเจ็บป่วย ความทรมานให้นานออกไป บางคนเป็นปี หรือสองสามปี จนไม่ไหวแล้วสุดท้ายก็ตายอยู่ดี …ทำไม่เราต้องทรมานทั้งตัวเองและคนรอบข้าง? …คิดดู!! ถ้าเป็นสมัยก่อน ไอ้ที่เราเห็นอาการหนักๆในโรงพยาบาล ถ้าสมัยก่อนก็คงตายไปแล้ว ไม่นอนทรมานนานๆ มองอีกมุมเครื่องมือแพทย์ก็เป็นเครื่องทรมานชนิดหนึ่งที่มนุษย์คิดค้นขึ้น” ฉันบอกความตั้งใจบางอย่างกับเพื่อน “พอถึงเวลานั้น เอาเข้าจริงแกก็ต้องดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตอยู่ เชื่อชั้นสิ” เพื่อนแย้ง “ก็เพราะเหตุนี้ไง ชั้นจึงตั้งใจจะเดินเข้าป่า ไปให้ไกลไม่ต้องพบเจอผู้คน ถึงตอนนั้นต่อให้ชั้นคิดจะเปลี่ยนใจก็ไม่ทันเสียแล้ว ชั้นจะดิ้นรนได้สักกี่น้ำ!! ชั้นตั้งใจจะนอนตายที่ในป่า ชั้นจะค่อยๆหายสาบสูญไป” ฉันคลี่แผนการในหัว ให้เพื่อนฟัง ซึ่งเพื่อนผู้รับฟังก็ยังไม่เชื่อว่าฉันจะทำได้ตามตั้งใจ …อย่างไรก็ตาม มันคงจะยังอีกนานกว่าฉันจะเข้าสู่วัยนั้น อีกไม่กี่วันต่อ ได้ดูข่าวชิ้นหนึ่ง เป็นเรื่องของเด็กหญิงวัยรุ่นผู้กำลังมีอนาคตสดใส เธอป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หาย และเสียชีวิตในเวลาต่อมา พ่อแม่เธอตัดสินใจบริจาคอวัยวะของเธอหลายส่วน ให้กับผู้ป่วยรายอื่นที่มีโอกาสรักษาหาย ความตายของเด็กผู้หญิงจึงไม่สูญเปล่า ในงานบำเพ็ญกุศลศพเธอ จึงเปลี่ยนความเศร้าโศก เป็นความปิติ!!! ฉันมีความคิดเรื่องต้องการบริจาคร่างกายให้สถาบันการแพทย์หรือให้โรงพยาบาลมานานแล้ว โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องขับรถโดยสารรับจ้าง …วันหนึ่งบนถนนฉันอาจพลาด ทั้งที่เกิดจากตนเอง หรืออาจเกิดจากผู้ใช้ยวดยานท่านอื่น!! เมื่อตายไป ร่างฉันจะไม่เป็นภาระให้คนรอบกายต้องยุ่งยากลำบาก!! จะทำบุญอุทิศให้ ก็แค่มีภาพถ่าย นำอาหารไปถวายพระสักมื้อ …ไม่ต้องนั่งอาลัยอาวรณ์นานนัก!!! แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ดำเนินการเรื่องนี้สักที และทุกครั้งที่เดินทางไกล ในแวบหนึ่งมักเกิดความกังวล “เฮ้ยแก!!! ชั้นจะบริจาคร่างกาย ต้องทำไงว่ะ?” ฉันถามเพื่อนคนเดิมทางไลน์ “แกก็แค่เดินไปแจ้งความประสงค์ที่โรงพยาบาลของรัฐ เขาจะดำเนินการให้เสร็จสรรพ” เพื่อนให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ยิ่ง หลายเดือนมานี้ ฉันต้องเวียนเข้า-ออก โรงพยาบาลบ่อยครั้ง …
ในฐานะคนเฝ้าไข้ในตึกอายุรกรรม ได้เป็นพยานการกลับคืนสู่ธรรมชาติของหลายชีวิต ส่วนใหญ่แล้วคือคนชรา บางคนยังไม่เรียกว่าชรา แต่บางอวัยวะในกายไม่พร้อมทำงานแล้ว …ทุกรายอยู่กับเครื่องพันธนาการเป็นเวลาหลายวัน การจ้องมองภาพคนป่วยบนเตียงนานๆ ทำให้เกิดเป็นภาพซ้อน เห็นภาพตัวเองนอนอยู่บนนั้น กับเครื่องพันธนาการรุงรัง สิ่งนี้รบกวนความปกติสุขของจิตใจเป็นอย่างมาก การบริจาคร่างกายจึงกลายเป็นทางออกจากภาระในใจ!! “แกจะได้บุญกุศลยิ่งใหญ่” เพื่อนพูดเรื่องบุญบาป ทำเหมือนกับว่าคนเราสามารถชั่ง-ตวง-วัด บาปบุญกันได้ “แกจะได้เป็นอาจารย์ใหญ่ ให้นักศึกษาแพทย์ได้เรียนรู้ผ่านร่างกายแก เขาจะไหว้เคารพแก และจัดพิธีทำบุญให้อย่างสมเกียรติ” เพื่อนอธิบายให้เห็นความสำคัญและการปฏิบัติต่อผู้สละร่างกาย “เฮ้ย!!! ชั้นไม่ต้องการบุญ ไม่เอาเกียรติ ตายคือตายจบกัน แค่เค้าช่วยเป็นธุระจัดการกะศพชั้น ไม่ต้องให้ญาติพี่น้องต้องลำบากก็ขอบคุณแล้ว …ตอนที่นอนเจ็บชั้นจะบอกหมอว่า ชั้นได้บริจาคร่างกายแล้ว ฉะนั้นหมอไม่ต้องมายื้อชีวิตชั้น อย่าเจาะ อย่าผ่า เดี๋ยวจะเป็นตำหนิ นักศึกษแพทย์จะได้มีร่างที่สมบูรณ์ไปผ่า ไปศึกษา” “เกียรตินี้ แกจะได้รับแม้ไม่ต้องร้องขอ ” เพื่อนว่า “เออ …ช่างมัน” ฉันตัดจบการสนทนาเรื่องนี้เออ …ช่างมัน.