เปล่าเปลือยเนื้อตัว

บทความโดย ฟองเวลา

ภาพโดย ฟองเวลา

“ว่างแล้วเอาตางค์ไปคีบผมเสียมั่ง ตางค์ก็ยังแล้ว” หลวงพ่อพูดขึ้น หลังจากแปรงฟันให้ตัวเองเสร็จ โดยแกนั่งแปรงอยู่บนเตียงคนป่วยในโรงพยาบาลนั่นแหละ “หัวรกก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร” ฉันตอบพ่อไปตามนิสัยเย่อหยิ่ง “เป็นคนดี ไม่เกี่ยวกับทรงผม” แถมยังสำทับทิ้งท้ายไปอีก พ่อเงียบเสียง และฉันก็ไม่ได้หันไปมองขณะตอบ ฉันมีคำพูดที่แปลเป็นภาษาเสียงออกมาเพียงเท่านั้น ขณะคำพูดในความคิดยังพร่างพรู …เรามีร่างกายเป็นเปลือกนอก หน้าตาเนื้อตัว แม้กระทั่งอาภรณ์ที่ห่อห่มก็เป็นเปลือกนอก พ่อเป็นพระน่าข้ามพ้นเรื่องเปลือกนอกได้ดีกว่าฉัน ฉันคิด!!! และฉันก็รู้สึกเฉยๆ ต่อสายตาใครก็ตามที่มองมา ในพร่างพรูความคิด ฉันคิดต่อ ….ฉันเดินไป เดินมา ระหว่างเตียงคนป่วยกับห้องน้ำ ระหว่างเดินเอากระบอกฉี่ไปเททิ้ง ระหว่างเดินไปลากแผงกั้นบังตามาใช้บังตาตอนพ่อฉี่ ระหว่างเดินลากแผงบังตาไปเก็บเมื่อฉี่เสร็จ! …มีอะไรจะต้องอายอีก เดี๋ยวพอถึงวันที่ขยับตัวลุกนั่งไม่ได้ ก็ต้องนอนให้ญาติ ให้พยาบาลจับตัวพลิกซ้ายพลิกขวา เปลือยกายเช็ดเนื้อเช็ดตัว ..เวลานั้นแม้สำนึกรู้จะยังมีครบถ้วนแต่จะขัดขืนปฏิเสธได้หรือ!! แม้จะรู้สึกอับอายที่ต้องโชว์สรีระต่อคนแปลกหน้า แต่การเข้าใจได้ว่ากายสังขารก่อรูปจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ ..ใครจะทำอะไร ..มองเช่นไร ก็ช่างเขา!!! มันจะง่ายกว่าการที่ใจยังหยัดยืนขืนต้านมิใช่หรือ? เนื้อตัวที่ปกปิด อาจมีบางอวัยวะที่แม้แต่เราเองก็ไม่ชื่นชอบ ไม่อยากแตะต้องลูบสัมผัส แม้ยามอยู่คนเดียวในห้องน้ำมิดชิดก็ตาม กระทั่งรังเกียจการเห็นภาพเปลือยตนเองในกระจก แต่หากเป็นอวัยวะส่วนใดที่สมส่วนได้รูป ตรงตามคุณลักษณ์อันเป็นที่ปราถนาของผู้คนส่วนใหญ่เชื่อกัน เราก็อยากอวดโชว์ส่วนนั้น …แม้ว่ามันจะเป็นอวัยวะที่ควรปกปิดก็ตาม เนื้อตัวอันเป็นกายหยาบนั้น หากเป็นส่วนที่ควรปกปิด เราจะเปิดเผยก็แต่เฉพาะคนที่เราไว้อกไว้ใจ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็คือคู่ครอง คู่ชีวิตเรานั่นเอง ทั้งนี้ก็โดยพื้นฐานของการไม่มีความลับต่อกัน …แต่ก็อีกนั่นแหละ ใช่ว่าเราจะอนุญาตให้คนรักรับรู้ได้ทั้งหมด บางพื้นที่อันเป็นอันเป็นปมด้อยยังต้องประเมินหยั่งเชิงท่าทีของอีกฝ่าย ว่ารับรู้แล้วจะยังสิเน่หาเมตตารัก หรือขำขื่น!! …สำหรับบางคน พื้นที่ปลอดภัยของเขา อาจต้องไม่มีมนุษย์รับรู้อยู่เลย ..แม้แต่ตัวเอง!! พูดให้เข้าใจง่ายคือ เขาอายแม้กระทั่งต่อตัวเอง!! ยังมีเนื้อตัวอีกแบบ คือเนื้อตัวภายในจิตใจ เนื้อตัวแบบนี้อาจไม่ต้องใช้อาภรณ์ห่มห่อ อุปนิสัยและพฤติกรรมที่แสดงออกนั้นพอจะบอกให้ใครๆ รู้ว่าเรามีเนื้อตัวภายในเช่นไร แต่สิ่งที่มนุษย์ผู้หนึ่งแสดงออกก็ใช่จะสรุปว่าทั้งหมดคือความเป็นตัวเป็นตนของคนผู้นั้น ยังมีอีกหลายแง่มุมเรื่องราว ที่เรากดเก็บไว้ …และแม้แต่ตัวเองเราก็ยังไม่วางใจจะให้รับรู้!!! ” ตัดผมแล้ว พ่อดูไม่เหมือนพ่อเลย!” ลูกสาวคนกลางเอ่ยขึ้นเมื่อเราพบกันในเย็นวันหนึ่ง หลังจากใช้สายตาสำรวจเนื้อตัวพ่ออย่างพินิจ “หมันแบบไหนอ่า!!” ฉันย้อนถาม …ความจริงฉันได้ให้ช่างหั่นผมยาวยุ่งพะรังพะรังทิ้งไปเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่ด้วยว่าไม่ค่อยได้พบเจอกัน และในการพบเจอก็มีเวลาจำกัด โอกาสที่จะสำรวจความเป็นไปของอีกฝ่ายจึงมีน้อย “เออๆ ใช่ๆ พ่อแลไม่ใจดีเหมือนพ่อคนก่อน …แลน่ากลัว” ลูกชายอธิบายภาพความรู้สึกแจ่มชัดขึ้น “แล้ว!! พ่อก็เป็นคนเดิม ..น่ากลัวตรงไหน!” ฉันย้อนถาม พยามยิ้มทะเล้น “พ่อไปไว้ผมยาวเหมือนเดิมตะ แลหล่อดี” ลูกชายพูดต่อ ” ไม่ๆ ..พ่อตัดผมแบบนี้แหละดีแล้ว!!” เสียงลูกสาวคนโต ดังลอยมาจากในบ้าน ก่อนเจ้าตัวจะเดินออกมา ที่วัดไม่มีกระจกเงา ทำให้ไม่รู้ว่าผมเผ้าเนื้อตัวหลังจากหั่นผมจนสั้นเกรียนเมื่อสามเดือนก่อน บัดนี้มันอยู่ในสภาพเช่นไร?? ภิกษุใช้ใบมีดโกนผมทุกก่อนวันพระส่วนฉัน เลิกให้ความสนใจผมเผ้ามาสักพักใหญ่ การต้องมาเฝ้าไข้หลวงพ่อที่โรงพยาบาล ทำให้ต้องพบเจอผู้คนหลากหลาย กระจกบานใหญ่ในห้องน้ำตึกผู้ป่วยในบอกให้รู้ว่าคนคุ้นเคยเริ่มแปลกหน้าต่อกัน มิน่า!!! หลวงพ่อถึงใช้ให้ไปคีบผม เย่อหยิ่งว่าตนข้ามพ้นเรื่องผมเผ้าเนื้อตัว แต่ตัวตนภายในพอกหนา และยังไม่พร้อมอนุญาตให้ใครแตะต้อง แม้กระทั่งพ่อตนเอง.