สายแล้วบนถนน

บทความโดย ฟองเวลา

ภาพโดย ฟองเวลา

เมื่อฉันยกเท้าขวา คันเร่งก็เด้งตามเท้าขึ้นมา ความเร็วรถค่อยๆ ลดลงช้าๆ เข็มหน้าปัดเรือนไมล์แสดงตัวเลขจาก 110 เหลือ 100 และ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตอนถึงทางโค้ง เนื่องจากเป็นทางลาดลงเนินแรงส่ง แรงไหลจึงยังมีมากอยู่ แต่ด้วยความคุ้นชินเส้นทางนี้ รู้จังหวะ รู้ไลน์การเข้าโค้งแต่ละโค้ง ฉันจึงไม่ได้แตะเบรกในขณะเข้าโค้ง มันเป็นโค้งซ้ายวงกว้าง ตรงจุดที่ถนนหักโค้งคือจุดต่ำสุดของหุบ เมื่อออกจากโค้งถนนก็เริ่มไต่ขึ้นเนินเตี้ยๆ สุดเนินก็จะเป็นทางโค้งขวา ดีหน่อยก็ตรงที่ว่ามันได้ถูกขยับขยายให้เป็นถนนขนาดสี่ช่องจราจร ซึ่งช่วงระยะทาง 20 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนถึงตัวเมืองนั้นอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ทัศนียภาพที่คุ้นตา ร่มรื่นของดอกอินทนิลริมทาง ซุ้มตะแบกที่ถนนลาดยางลอดเลื้อยผ่านดูคล้ายอุโมงค์ต้นไม้ กลายเป็นอดีตไป แน่นอนว่ามุมมองที่มีต่อสายน้ำตกปุญญบาล และคลองเสร็จตะกวดก็เปลี่ยนไปด้วย!! ข้อดีของการขับขี่บนถนนสี่เลน คือไม่ต้องระวังรถที่วิ่งสวนทาง …แต่ก็มีบ้างแหละ ที่มีรถบางคันขับย้อนศรมาตามไหล่ทาง …เป็นเรื่องเข้าใจได้และควรให้อภัยกันสำหรับชาวบ้านที่อยู่ตามริมทาง พวกเขาเคยมีชีวิตปกติสุขอยู่กับเพชรเกษมขนาด 2 ช่องจราจร เส้นทางคดโค้ง ขึ้ควน ลงหุบ คล้ายการสะบัดริบบิ้น สีเทามีแถบข้างสีเขียวครึ้ม และช่วงปลายฤดูหนาว จะมีแถบสีม่วงของดอกอินทนิลมัช่วยแต่งแต้มริบบิ้น แต่เมื่อโครงการขยายถนนเป็นสี่ช่องจราจร อันเป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างทับเส้นทางเดิม มันออกแบบมาให้รถใช้ความเร็วค่อนข้างสูง และสะดวกสำหรับการเดินทางระยะไกล ข้ามเมือง ข้ามภูมิภาค ส่วนชาวชุมชนเดิมที่มีชีวิตอยู่ตามรายทางครั้งที่มันเป็นแค่ถนน 2 ช่องจราจรย่อมลำบากแน่ เพื่อนบ้านที่อยู่คนละฟากถนนและเคยเดินไปมาหาสู่กันวันละหลายเที่ยวสมัยที่ถนนยังแคบอยู่ .บัดนี้การพบปะกันลดลง ตะโกนคุยกันก็ลำบาก ครั้นจะข้ามถนนสี่เลนไปหากันอย่างเก่า ก็ไม่แน่ว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปบ้านตัวเองได้สักกี่วันกัน!! การจะขี่รถเครื่อง รถยนต์ไปทำธุระใกล้ๆ ก็จำเป็นต้องเดินทางไกลออกไปเพื่อจะยูเทิร์นกลับรถซึ่งห่างออกไปสองสามกิโลเมตร …ความเจริญในความหมายที่ชี้วัดด้วยความสะดวกสบายนั้น มักเบียดเบียดชีวิตปกติสุขของชุมชนท้องถิ่นเสมอ และรูปแบบความเจริญก็สวมกันไม่ลงกับวิถีคนบ้านนอก …การเจาะ ถม เพื่อทำเป็นยูเทิร์นเถื่อน และการขับขี่ย้อนศรของชาวชุมชน ถ้ามองในมิติกฎหมาย กฎความปลอดภัย ..ผิดแน่ และไม่ควรทำ แต่ใช่หรือไม่ว่าหากมองให้ลึกเข้าไปในใจ นั่นคือการตอบโต้ คืออารยะขัดขืนอีกแบบหนึ่ง และกำลังบอกกับผู้กุมนโยบายว่า การพัฒนาความเจริญใดๆ ควรรับฟังและออกแบบร่วมเพื่อให้สอดคล้องทั้งส่วนกลาง และชุมชนท้องถิ่น มันเป็นโค้งซ้าย ฉันจึงหักเลี้ยวอย่างที่เรียกว่า”กอดโค้ง” จนล้อด้านซ้ายกินพื้นที่เลยเส้นขอบทางเข้าไป แต่ไม่มีปัญหาใดให้กังวลเพราะรัศมีการมองเห็นค่อนข้างกว้าง พอออกจากโค้งในหุบ ฉันกดคันเร่งเพื่อส่งรถขึ้นเนิน เข็มความเร็วดีดขึ้นทันที เหลือบมองกระจกหลัง มีรถเก๋งคันหนึ่งเพิ่งพ้นออกจากโค้ง และกำลังเพิ่มความเร็ว ‘ ฉันอยู่ในช่องซ้ายจึงไม่ต้องกลัวว่ารถคันหลังจะขับจี้ เขาสามารถวิ่งช่องขวาแล้วแซงไป หากเขารีบ’ ฉันคิด และเมื่อสายตาหันมาจับจ้องถนนข้างหน้าอีกครั้ง ห่างจากรถไประยะทางไม่เกิน 60 เมตร กลางช่องจราจรซ้าย หมาบ้านตัวสีออกน้ำตาลเข้มตัวหนึ่ง อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงนั้น มันมองนิ่งมายังรถที่กำลังแล่นเข้าไปหา ‘มันคงเพิ่งถูกรถยนต์คันใดคันหนึ่งชนเข้าให้ อาจโดนบริเวณขาหลังหรือสะโพก มันโชคดีที่ไม่ถูกชนกระแทกบริเวณศีรษะทำให้ยังสามารถหันมองซ้าย-ขวาได้ …แต่โชคร้ายที่ไม่สามารถลุกขึ้นพาร่างบาดเจ็บออกจากพื้นที่อันตรายได้ เสี้ยวเวลาสั้นๆ ฉันไม่มีเวลาพอที่จะตรวจสอบวิเคราะห์อะไรมากนัก จำต้องเปิดไฟเลี้ยวขวาเพื่อให้สัญญาณรถคันหลัง ว่าฉันกำลังเปลี่ยนช่องจราจร ชลอความเร็วนิดหนึ่ง ขณะขับผ่านจุดที่หมาตัวนั้นนอนบาดเจ็บ เหลือบมองกระจกหลัง เห็นรถคันหลังปฏิบัติเหมือนตาม ฉันก็รู้สึกโล่งใจ ‘อย่างน้อยตอนนี้แกก็ยังปลอดภัยแหละว่ะ!’ ขับผ่านจุดนั้นมาสัก 30 เมตร เหลือบกระจกข้างเห็นเจ้ายังกึ่งนั่งกึ่งนอนในท่าเดิม ในสมองพลันคิดว่าอีกไม่นานรถที่ขับมาโดยไม่ทันระวัง หรือหักหลบไม่ทัน เป็นต้องเหยียบซ้ำเจ้าหมาบาดเจ็บตัวนี้เป็นแน่ ….

ภาพโดย ฟองเวลา

ภาพเหตุการณ์เก่าผุดประมวลขึ้นในรู้สึกอย่างรวดเร็ว ฉันเคยมีภาพจำแย่ๆ ต่อตัวเองหลายครั้งมาก …ส่วนใหญ่เกิดขึ้นขณะกำลังเดินทาง ผู้คนที่ยืนรอรถอยู่ข้างทาง เป็นพระก็มี ที่ยืนโบกรถอยู่ข้างทางแต่ฉันไม่ได้จอดรับฯลฯ …ในสำนึกรู้ตอนนั้น รู้ว่ามีคนต้องการความช่วยเหลือแบ่งปันเมตตาจากเรา …ในสำนึกรู้ยังสัมผัสได้ว่า ตัวเองก็มีความรู้สึกอยากช่วย แต่ก็มีเส้นแบ่งบางอย่างที่ชั่งใจให้ตัดสินใจไม่ลงมือช่วย อาจเป็นวามกังวลกลัว กลัวยุ่งยาก เสียเวลา กลัวเป็นมิจฉาชีพอาศัยความขี้ใจอ่อนของเหยื่อลงมือประทุษร้ายต่อทรัพย์ฯ ความจริงครั้งนี้ฉันก็ค่อนข้างรีบ เพราะลูกสาวคนกลางนัดไว้เวลา 9 โมงเช้าเพื่อจะไปยื่นเอกสารสำหรับการเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยขยายโอกาสแห่งหนึ่ง และตอนนี้ก็เกินเวลานัดมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ..พลันนั้นฉันชลอความเร็ว เบี่ยงซ้ายชิดขอบทางและหยุดรถขณะขับเลยจุดนั้นมากว่า 60 เมตร ฉันเข้าเกียร์ถอยหลัง เปิดสัญญาณไฟกระพริบและขับถอยไปหาเจ้าหมาตัวนั้น จากกระจกมองหลังทำให้เห็นว่าเหลือระยะห่างระหว่างรถกับเจ้าหมาบาดเจ็บไม่ถึง 6 เมตร ฉันหยุดรถบนไหล่ทาง ตั้งใจจะลงไปอุ้มเอามันมาวางไว้ที่ริมทาง เพื่อว่าอย่างน้อยมันไม่ต้องนอนรอความตายจากการถูกรถชนซ้ำ!! ซึ่งต้องเกิดขึ้นแน่ในไม่นานนี้ ส่วนเรื่องจะพาไปหาหมอนั้น ดูจะเกินความสามารถของคนอย่างฉัน ไม่ทันจะเปิดประตูรถ เจ้าหมาลุกขึ้นยืนและเดินอาดๆ อย่างไม่รีบร้อนออกไปจากจุดนั้น มันเดินหายไปตามทางแคบๆ เข้าสวนยาง ตรงนั้นเป็นบ้านพักคนงานในสวนยาง ‘ …โธ่เอ้ย!!! ว่าจะประกอบกรรมดีสักหน่อย อุตส่าห์จะลงไปช่วย แต่ก็ดีแล้ว ก็ตั้งใจให้แกปลอดภัย ทีหลังอย่าเที่ยวมานอนกลางถนนอีกนะ แกไม่โชคดีบ่อยนักหรอก!!!’ *เหตุเกิด 18 มีนาคม 64