บทความโดย ฟองเวลา
จะเจ็ดโมงแล้ว เมื่อฉันเดินไปเปิดประตูรถตู้ เอากระเป๋าเสื้อผ้า ย่ามหนังสือและโทรศัพท์วางไว้บนรถ สตาร์ทรถติดเครื่องยนต์ รูดใบขับขี่กับเครื่องสแกนผู้ขับขี่ เปิดแอร์ทิ้งไว้แล้วเดินไปยืนไหว้ศาลพระภูมิ …ไม่ได้ขออะไร เพียงแต่ขอบคุณที่คุ้มครองดูแลกันมา
แม่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ใกล้ๆ ตอนแรกตั้งใจจะยกมือไหว้เพื่อขอพรเช่นทุกครั้งก่อนเดินทาง แต่ใจหนึ่งอยากทำมากกว่านั้น… เดิมอ้อมแปลงไม้ดอกเข้าไปหาแม่ กอดแม่แน่นๆอึดใจหนึ่ง พร้อมกับบอกแม่ว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของฉันจึงขอกอดแม่ แม่ไม้ได้กอดตอบหรอกเพราะในมือหิ้วถังน้ำอยู่ “วันเกิดกูไม่มีไหร๊ให้ ให้มึงถูกเบอร์แล้วกัน” แม่ว่า ฉันไหว้และบอกว่าให้คำแม่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเถอะ แล้วเอามือขึ้นลูบศีรษะ!!
จำไม่ได้แล้วว่าฉันกอดแม่ หรือแม่กอดฉันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ นั่นคงตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กแบเบาะ ปากคาบขวดนมพล้าสติกที่บรรจุ’น้ำข้าว’ ชงกับน้ำตาลทรายแทนนมข้นแปลงไขมันหวานตรามะลิ ฉันเป็นเด็กในบ้านคนเดียวที่กินนมข้นแทนนมแม่ไม่ได้ ผอมแห้งจะเป็นพยาธิตายซะตั้งแต่ตอนเด็กๆ มีคนแนะนำให้แม่รินน้ำข้าวที่หุงด้วยเตาถ่านเตาฟืน มาชงละลายน้ำตาลทรายให้กิน ส่วนนมแม่คงไม่มีให้ลูกดูด เพราะแม่มีลูกตั้งสิบคน กับการต้องทำงานในไร่ตั้งแต่เช้ามืด คงไม่สามารถเลี้ยงลูกแบบประคบประหงมได้
ในความทรงจำนั้น ยังจำได้ว่าเคยนอนตักแม่ นอนทับผ้าถุงที่หย่อนเป็นเปล อุ่นมากมาย แต่โอกาสเช่นนั้นหายากเต็มที ก็ด้วยแม่มีลูกมาก การจะอนุญาตให้ลูกคนโน้นนอนตัก อีกสองสามคนก็จะเข้ามาขอใช้สิทธิ์บ้าง?? แม่เลยตัดปัญหาด้วยการเลี้ยงปล่อยแบบบุฟเฟ่ระดับหนึ่ง และต้องใช้มาตรการปกครองแบบเผด็จการอ่อนๆ เพื่อจัดการปัญหาระหว่างลูกๆ
เราไม่เคยบอกรักกัน คำบอกรักหรือการโอบกอด ดูจะเป็นเรื่องน่ากระดากเขินอาย เป็นสิ่งปั้นแต่งล้นเกินสำหรับครอบครัวคนบ้านป่าอย่างเรา เรารับรู้ว่าเรารักกัน โดยใช้ภาษากายสื่อสาร แม่มักเดินหิ้วของกินมาให้ฉัน ให้หลานๆ อย่างคืนที่เขานับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ที่ผ่านมา สี่ทุ่มกว่าแล้ว เมื่อเพื่อนบ้านผู้มีฐานะซึ่งประกอบอาชีพรับซื้อยางพารา แวะเอาผลส้มเขียวหวานมาฝากแม่ ฉันยังนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าบ้านตัวเอง สักอึดใจแม่ก็เดินหิ้วถุงส้มมาส่งให้ฉัน “เอา ..ส้ม”แม่ว่า “เอามาจากไหน ปานี้แล้ว”(หมายถึงดึกแล้ว แม่ไปได้ส้มมาจากไหน) ฉันย้อนถามทั้งที่นั่งมองดูพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้น “ไอ้อ้อยซื้อมาฝาก” ฉันรับถุงผลส้มจากแม่และบอกแม่ว่าดึกแล้ว แม่ควรเข้านอนได้แล้ว สิ่งละอันพันละร้อยเหล่านี้คือภาษากายแทนคำรัก
ฉันคงปฏิสนธิเป็นตัวเป็นตนตั้งแต่ราวมีนาคม สองพันห้าร้อยสิบสอง และออกมาสัมผัสบรรยากาศโลกเมื่อกลางมกราคม สองพันห้าร้อยสิบสาม ความผูกพันทางกายระหว่างแม่กับฉันโดยผ่านทางสายสะดือก็ถูกตัดขาด ตัดขาดเมื่อฉันเริ่มหายใจด้วยตัวเอง กินอาหารทางปาก และแหกปากร้องเมื่อหิว ร้องโวยวายเมื่อไม่ได้อย่างใจหวัง ตัวตนในตัวเราถูกสร้างตอนนี้เอง เราเป็นผู้ถูกรัก และในทางกลับกันมันได้สร้างความรู้สึกรักในแบบเพื่อตัวเองให้กับเด็กทุกคน!!
ลองดูเถิด ความรักในความหมายของวัยเด็กและตอนวัยรุ่น ล้วนเป็นการรักที่เราต้องการให้ผู้อื่น สิ่งอื่น …ผู้ที่เราบอกว่ารักต้องมาขึ้นกับเรา สนองตอบเรา กว่าเราจะรักผู้อื่น สิ่งอื่นเป็น รักที่เราเป็นฝ่ายมอบสิ่งดีๆให้ มอบอิสระเสรี รักที่ไม่ต้องจับขังพันธนาการ วันเวลาก็ล่วงเลยไปไกล บางคนอาจไม่เคยเข้าใจหรือสัมผัสความรักในใจตน ความรักในความหมายอย่างหลัง เขาหรือเธอยังโตไม่พ้นวัยเด็ก บางอารมณ์ฉันเองก็ยังเด็กนัก …กับความรักในความหมายอย่างหลัง มันก้ำกึ่งเหวี่ยงไปมาอยู่บนขอบเหวของรักทั้งสองแบบ ข่าวอาญากรรมที่เกิดขึ้นระยะนี้ก็ล้วนมีเหตุมาจากรักในวัยไร้เดียงสา รักที่ถูกแช่แข็งกาลเวลาไว้กับวัยเยาว์
ฉันดื่มกินจากโลก จากธรรมชาติ จากชีวิตอื่นมาครบครึ่งศตวรรษตก็วันนี้เอง บวกอีกเก้าเดือนที่อาศัยในท้องแม่ ซึ่งแม่ก็ดื่มกิน หายใจจากสิ่งอื่น จากชีวิตอื่น เพราะฉะนั้นเราจึงเป็นส่วนหนึ่งของโลกธรรมชาติ ตัวตนของเราแท้จริงแล้วมันไม่ใช่อะไรอื่น เป็นเพียงเด็กที่ถูกขัดใจเท่านั้นเอง ฉันต้องเติบโตให้พ้นวัยเด็ก เด็กน้อยในตัวที่เอาแต่ใจและต้องการรัก รักที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง สำนึกในแบบหลังควรเกิดขึ้นแล้ว และอีกไม่นาน ไม่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่! เราต้องคืนทุกสิ่งที่ได้มากลับสู่ต้นธารดั้งเดิม
ขอบคุณทุกคำอวยพรจากเพื่อนมิตร แต่ฉันเพียงอยากใช้วันเวลานี้ไปเพื่อการรำลึกถึงถิ่นฐานที่มาของตน และต่อแต่นี้ฉันคงไม่ได้อวยพรให้ใครอีก ด้วยภาษาพูดหรือภาษาเขียน แต่ให้รู้เถอะว่า ฉันได้ใช้ภาษากาย ภาษาใจเพื่อสื่อสารระหว่างกันแล้ว สำหรับวันแห่งความรักของทุกชีวิต.
-วันแห่งความรัก วันที่ควรจะเป็นของแต่ละคน-