ผู้ชนะ

บทความโดย ฟองเวลา

ภาพโดย ฟองเวลา

“ตัวเองรวยแรงเห้อ ถึงได้ไปเลี้ยงเพื่อนน้าน!!” ป้าพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวด สายตาจับจ้องมาที่ผมอย่างเกรี้ยวกราด “เขามีมากกว่าเราเสียอีก นี่ตัวเองยังเงินไม่ได้ที!! …แล้วเงินหนึ่งร้อยนั่น ย่าเป็นคนให้เอาไปกินหนมไม่ต้องไปเง้อแลปากเวลาเพื่อนกิน!!”
รางวัลชนะอันดับหนึ่งในการประกวดร้องเพลงประสานเสียง ในงานแข่งขันทักษะทางวิชาการตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ ที่ผมได้รับเล่นเอาถึงกับน้ำตาซึม
ทีแรกผมตั้งใจจะนั่งซดน้ำอัดลมที่โต๊ะหน้าร้านให้ชุ่มชื่นใจสักหน่อย ซดน้ำอัดลมไปพลาง เปิดดูรายในยูทูปไปด้วย!!! โดยปกติแล้ว ป้ามักจะอนุญาตให้ผมยืมโทรศัพท์ไปนั่งเล่นได้ครั้งละนานๆ แลกด้วยการนั่งเฝ้าหน้าร้านให้ และรวมถึงสามารถเลือกหยิบขนมหรือเครื่องดื่มในร้านที่มีราคาไม่เกินยี่สิบบาทมานั่งกินได้ด้วย ถ้าผมช่วยจัดโน่น นั่น นี่ในร้าน แต่วันนี้ผมกลับไม่สามารถเช่นนั้นได้ ต้องรีบเดินกลับบ้านตัวเองทันที ในหัวผมเต็มไปด้วยคำถามที่ไร้คำตอบ ความพอดี!! ความเหมาะควร!! ความสมเหตุสมผล มันมีเกณฑ์วัดอยู่ตรงไหน?
เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อทางโรงเรียนต้องคัดนักเรียนเข้าฝึกซ้อมในกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเข้าร่วมแข่งขันในงานทักษะทางวิชาการ ซึ่งจัดในตัวเมือง เข้าใจว่าทางโรงเรียนจัดส่งแข่งขันในหลายรายการทำให้ต้องใช้เด็กจำนวนเกือบทั้งหมด พูดเฉพาะในห้องประถมห้า มีเด็กที่ไม่ถูกคัดเลือกให้ร่วมรายการใดๆเลยแค่ 3 คน จากนักเรียนทั้งห้องยี่สิบกว่าคน สามคนนี้คงจะไม่มีความโดดเด่นด้านใดเลย หรืออาจมีความสามารถซ่อนอยู่เพียงแต่ครูยังค้นไม่พบ หรือต่อให้ครูพบแล้วแต่มันไม่ใช่สิ่งที่ครูต้องการส่งเสริม
ผมเคยร่วมกิจกรรมร้องเพลงประสานเสียงมาก่อน เป็นเพลงเกี่ยวกับพระคุณแม่ เพลงที่ฟังแล้วน้ำตาคลอ ซึ่งเรื่องนี้ครูจะมีความสามารถเป็นพิเศษในการสร้างบรรยากาศใก้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ซาบซึ้งจนต้องแอบหลั่งน้ำตา คราวนี้ผมถูกเลือกให้ไปอยู่ในทีมขับร้องประสานเสียงโดยรวมกับรุ่นพี่ชั้นป.6 เพลงสดุดีจอมราชา มีทำนองคล้ายโอเปร่า จังหวะที่ต้องเปล่งเสียงสูงยาวๆ ผมรู้สึกปวดจี๊ดในหู และคลื่นเสียงแผดแหลมของนักเรียนหญิงนั้นแทรกลึกเข้าไปถึงระบบสมองชั้นในจนรู้สึกปวดแปลบ ตอนเริ่มซ้อมใหม่ๆ ผมได้เสนอกับเพื่อนๆว่าอยากขอถอนตัวจากรายการนี้ แต่เพื่อนมันไม่ยอม ผมก็เห็นแก่เพื่อนๆ จึงทนฝึกซ้อมไป
ก่อนถึงวันซ้อมใหญ่ครั้งสุดท้าย ทางโรงเรียนก็ส่งใบขออนุญาตมาให้ผู้ปกครองเซ็นยินยอม เย็นนั้นพ่ออยู่บ้านพอดี พ่อจึงเซ็นอนุญาตทั้งของผม และของพี่สาวซึ่งพี่เขาต้องลงแข่ง 2 รายการ ก็การสวดมนต์ทำนองสรภัญญะ ที่พี่เขาเป็นตัวแทนโรงเรียนมาตั้งแต่สมัยเรียนประถมนั่นแหละ พอถึงตอนเช้า ผมเล่าเรื่องอาการปวดหัวเวลาได้ยินเสียงแหลมจี๊ดเข้ามาในประสาทหู พ่อรับฟังแล้วถามว่าสรุปจะเอายังไง? ผมยืนยันที่จะไม่ไปซ้อมและร่วมแข่งขัน พ่อจึงแก้รายการในเอกสารขออนุญาตเป็น ‘ไม่อนุญาต’ แล้วพ่อก็ส่งข้อความไปขอโทษคุณครูผู้ควบคุมการซ้อม พ่อว่าผมแจ้งเหตุฉุกละหุกแบบนี้ จะสร้างความลำบากให้กับครูผู้รับผิดชอบ เขาจะหาใครมาแทนได้ล่ะ ในเวลาจำกัดเช่นนี้!!! ป้าและอา พูดว่าทีเล่นโทรศัพท์นานๆ ไม่เห็นจะปวดหัวเลย!! ผมบอกกับอาว่า นี่เป็นเรื่องสุขภาพจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเอาแต่ใจตัวเองเลย แต่เมื่อพ่อแบกพร้าไปสวนแล้ว ป้าก็บังคับพาผมไปส่งที่โรงเรียนอยู่ดี ซึ่งครูกำลังวุ่นๆเรื่องการหาคนมาแทนอยู่พอดี …ผมเข้าใจว่าทั้งป้า และอา อาจคิดว่าพ่อคงไม่อยากให้ผมไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้ อาจคิดไปว่าพ่อคงตัดสินใจแทนผมก็เป็นได้!!!
อย่างไรก็ตามเช้าวันต่อมาผมก็ยอมไปเข้าร่วมกิจกรรมอยู่ดี ย่าควักแบ๊งค์ 100 ให้ผม หลังจบการแข่งขัน ครูแจกเบี้ยเลี้ยงค่าอาหารกลางวันคนละ 50 บาท และพาทีมทั้ง 7 ไปกินไก่เคเอฟซีในห้างโดยใช้วิธีลงขันคนละ 50 บาท ตอนนั้นครูเพิ่งแจ้งผลว่าทีมเราได้ที่หนึ่ง และต้องมีภารกิจไปร้องโชว์ต่อผู้ว่าฯด้วย แต่ยังไม่กำหนดวัน กินอิ่มแล้วครูให้เวลาพวกเราเดินเล่นในห้างต่อสักพัก ทุกคนแยกย้ายกันหามุมถนัด ผมรู้ว่าเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งไม่มีเงินติดกระเป๋าแล้ว การเดินห้างด้วยกระเป๋าแห้งแฟบและต้องแอบกลืนน้ำลายทุกครั้งที่ผ่านโซนอาหาร หรือไปยืนมองคนอื่นๆเล่นเครื่องเล่นเกมส์อยู่เป็นนาน มันทรมานอารมณ์เด็กอย่างเหลือร้ายแค่ไหน!! ผมยังจำความรู้สึกแบบนี้ได้ดี จึงตัดสินใจพาพี่ไปเลี้ยงไอศครีม กินไอศครีมเสร็จเราพากันไปเล่นเครื่องเล่นคนละหนึ่งเกมส์ หนึ่งร้อยบาทเหลือเงินทอนสองบาท แต่ผมรู้สึกอิ่มและสุขที่ได้แบ่งปัน ผมคงจะรู้สึกแย่ไปนานถ้าปล่อยให้เพื่อนต้องเผชิญความรู้สึกนั้นโดยที่ตัวผมเองรับรู้แล้ว
พอรู้เรื่อง พี่สาวก็สวดซ้ำ เหมือนลอกความคิดมากจากป้าเลย พี่ว่าเดี๋ยวพอผมโตขึ้นก็จะคิดได้เอง ผมเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟังแล้วถามว่า”ผมผิดหรือ” พ่อว่ามันไมใช่เรื่องผิดหรือถูก มันอยู่ที่ใครจะมองมุมไหน แต่พ่อก็บอกว่าผมทำดีแล้ว ดอกไม้ในวัยเด็กจะบานเสมอ วันเวลาที่เราโตขึ้นจะทำให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา คนส่วนใหญ่เมื่อโตขึ้น ดอกไม้ในใจจะไม่บานอีกเลย พ่อว่า “แล้วทำไมดอกไม้ของพ่อยังบานอยู่” ผมถาม “พ่อแอบรดน้ำพรวนดินไว้”